วันพฤหัสบดีที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2561

เทวศาสตร์ไอยคุปต์ ในโลกปัจจุบัน





ศาสตร์แห่งการบูชาเทพไอยคุปต์ ในระดับที่เป็นทางการนั้น สูญหายไปกว่า 2,000 ปี

จะยังคงเหลืออยู่ก็เพียงในไม่กี่ตระกูล ที่สืบสายจากนักบวชระดับรอบนอกของอาณาจักรอียิปต์โบราณ ในพื้นที่ห่างไกล และขาดการติดต่อกับโลกภายนอก ของทวีปแอฟริกา

แต่ความชื่นชอบในโบราณคดีอียิปต์ และอิทธิพลที่ลดลงของศาสนาคริสต์ ก็ทำให้ชาวตะวันตกที่สนใจเรื่องเวทมนต์ ของชนชาติอื่นซึ่งแตกต่างจากที่พวกตนรู้จักมาแต่ก่อน (เช่นไสยศาสตร์ยิว) เริ่มแสวงหาข้อมูล และฟื้นฟูเทวศาสตร์ไอยคุปต์กันอย่างแพร่หลาย

ซึ่งที่ผ่านมา มีอยู่หลายรูปแบบครับ

รูปแบบดั้งเดิมที่สุด คือกลุ่มที่เรียกกันว่า นักมายาศาสตร์ (Magician), แม่มด (Witch) และ วิคคา (Wicca)




คนเหล่านี้ไม่ใช่นักวิชาการ หรือผู้เชี่ยวชาญทางเทวศาสตร์ไอยคุปต์โดยตรงหรอกครับ

พวกเขาล้วนมีชื่อเสียงขึ้นมา จากการใช้วิธีประยุกต์ ดัดแปลง และผสมผสานพิธีกรรมของอียิปต์โบราณ เข้ากับมายาศาสตร์ยิวหรือฮีบรูว์ (Hebrew) บ้าง มายาศาสตร์ยุโรปโบราณบ้าง มายาศาสตร์กรีก-โรมันบ้าง

จนแม้แต่หยิบยืมความรู้โบราณจากโลกตะวันออก ก็ไม่น้อย

ส่วนใหญ่จะเขียนหนังสือเกี่ยวกับเทววิทยาอียิปต์ออกเผยแพร่ และตั้งสำนัก หรืออาศรมขึ้นเป็นรุ่นแรกๆ ในสหรัฐอเมริกา

นับว่าต่างก็มีคุณูปการ ในฐานะที่เป็นผู้บุกเบิกเทวศาสตร์อียิปต์ จนได้รับความนิยมแพร่หลายมาถึงทุกวันนี้ครับ จะพบได้ในตำราภาษาอังกฤษทั่วไป

แต่มักจะไม่ใกล้เคียงกับเทวศาสตร์ไอยคุปต์ดั้งเดิม (Non Authentic) เท่าใดนัก

เพราะว่า แต่ละท่านที่ศึกษาด้วยตนเองนั้น ส่วนมากจะใช้ฐานความรู้เก่า คือความรู้ทางอียิปต์วิทยาในสมัย 30-60 ปีมาแล้ว

ซึ่งยังขาดความเข้าใจในทางเทววิทยา และเทวศาสตร์อียิปต์อย่างเพียงพอ

แล้วก็เลยเลือกใช้เพียงเศษเสี้ยวของเทวศาสตร์ไอยคุปต์ ตามที่เห็นว่าเข้าใจง่าย ปฏิบัติง่าย และดูเป็นอียิปต์ๆ ดีเท่านั้น 




แบบที่มีให้เห็นรองลงมา คือกลุ่มผู้สนใจเทวศาสตร์ไอยคุปต์ ที่ศึกษาด้วยตนเองเช่นกัน

โดยเริ่มแรก ก็ใช้วิธีค้นคว้าหาความรู้จากตำราต่างๆ ของนักมายาศาสตร์ประเภทแรก ที่กล่าวไปแล้วน่ะแหละครับ

แต่เนื่องจากเป็นคนรุ่นใหม่กว่า นอกจากจะอาศัยหนังสือตำราแล้ว จึงใช้วิธีค้นจากอินเตอร์เน็ต แต่ก็หนีไม่พ้นข้อมูลจากตำราที่กล่าวไปแล้วเช่นกัน

และความสนใจของคนเหล่านี้ จะไม่ค่อยเน้นในทางวิชาการมากนัก เนื่องจากไม่แพร่หลาย สืบค้นยาก

เมื่อศึกษาด้วยตัวเอง ตีความด้วยตัวเองแล้ว เข้าใจอย่างไรก็ปฏิบัติไปตามนั้น

พวกนี้มีอยู่ทั่วไปในสังคมตะวันตก ในเมืองไทยของเราก็มีอยู่มากครับ จนพูดได้ว่า ผู้ศึกษาเทววิทยาอียิปต์ในเมืองไทย แทบทั้งหมด ในช่วง 20-30 ปีที่ผ่านมา อยู่ในประเภทนี้

ไม่ว่าจะเป็นหมอดู หรือบุคคลมีชื่อเสียง ที่ปรากฏตามสื่อต่างๆ ว่าเป็นผู้ที่ชื่นชอบเรื่องอียิปต์

จนรวมไปถึงสำนักไสยศาสตร์ ที่เอารูปแบบเครื่องรางอียิปต์โบราณมาผลิตขาย โดยอ้างว่า เป็นการจัดสร้างตามศาสตร์ทางเทววิทยาจากไอยคุปต์

ที่จริงก็เป็นพวกที่ค้นคว้าด้วยตนเอง จากหนังสือ หรืออินเตอร์เน็ตทั้งนั้นแหละครับ




และกลุ่มสุดท้าย คือกลุ่มที่ได้รับการศึกษา และการสืบทอด จากภัณฑารักษ์ (Curator) ของพิพิธภัณฑ์ระดับโลก เช่น บริติชมิวเซียม (British Museum), พิพิธภัณฑ์ลูฟว์ร์ ปารีส (Louvre) และ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอียิปต์ ณ กรุงไคโร เป็นต้น

หรือไม่ก็ศึกษากับผู้เชี่ยวชาญ, อาจารย์สอนตามมหาวิทยาลัยหรือสถาบันต่างๆ ที่ใช้ฐานความรู้ทางเทววิทยาและโบราณคดีอียิปต์ ซึ่งมีการ update กันอย่างสม่ำเสมอ  

กลุ่มที่มีพื้นฐานทางเทวศาสตร์ไอยคุปต์ประเภทที่ว่านี้ บางคนสนใจค้นคว้าแต่เฉพาะในแง่โบราณคดี และศาสนศาสตร์ หรือพูดรวมๆ ก็คือ ในแง่วิชาการ ซึ่งเป็นวิทยาศาสตร์

ขณะที่บางคนค้นคว้าในแง่ ศาสตร์ลับ (Mystic) ซึ่งจะมีการปฏิบัติ หรือ practice ในส่วนที่ไม่เป็นวิทยาศาสตร์รวมอยู่ด้วย เช่น การใช้เวทมนต์ในพิธีกรรมต่างๆ

ซึ่งกลุ่มหลังนี่แหละครับ ที่มีการแสวงหาความรู้เพิ่มเติมจากการทดลองปฏิบัติ เปรียบเทียบ และสอบค้น จากตระกูลนักไสยเวทแอฟริกัน ที่สืบสายวิชามาจากนักบวชอียิปต์โบราณจริงๆ ที่ผมพูดถึงไปแล้วข้างต้น เท่าที่ยังมีชีวิตอยู่ในยุคของเรา (คนสุดท้ายเพิ่งถึงแก่กรรมไปเมื่อราวๆ 30 ปีมานี้)




จนแน่ใจแล้ว จึงกำหนดเป็นแนวทางการปฏิบัติ อย่างที่เรียกกันว่า Kemetic Reconstructionism

ซึ่งนิยมนับถือกันว่า เป็นเทวศาสตร์ไอยคุปต์ ที่ใกล้เคียงกับแบบแผนดั้งเดิม (Authentic) ที่สุด

ฝ่ายหลังนี้ละครับ ต่อมาก็ได้ตั้งสำนัก หรืออาศรม เพื่อการเผยแพร่เทวศาสตร์ และพิธีกรรมของชาวอียิปต์โบราณโดยเฉพาะเช่นกัน โดยมักจะใช้คำว่า Temple นำหน้าสำนัก

ซึ่งเท่าที่ได้รับการรับรอง ว่ามีแนวทางที่ได้ผลจริง สามารถยึดเป็นมาตรฐานได้ ส่วนมากอยู่ในอังกฤษ ฝรั่งเศส แคนาดา และไอร์แลนด์

อย่าง Rosemary Clark นักเทวศาสตร์ไอยคุปต์ระดับแถวหน้า ซึ่งเขียนตำราหลายเล่มที่วงการ Kemetic Reconstructionism ใช้กันเป็นมาตรฐานอยู่ในปัจจุบัน สำนักของท่านมีชื่อว่า Temple Harakhte


Rosemary Clark

แต่เท่าที่ผมทราบนะครับ สำนัก Kemetic Reconstructionism เช่นนี้ ไม่มีแม้แต่แห่งเดียวที่อยู่ในอียิปต์

ดังนั้น ใครก็ตามที่อ้างว่า ไปเรียนเทวศาสตร์ไอยคุปต์มาจากอียิปต์ อย่างมากที่สุด ก็คือเรียนแค่ในภาคส่วนของ Egyptology ซึ่งเป็นโบราณคดีสาขาหนึ่งเท่านั้นแหละครับ ไม่รู้เรื่องพิธีกรรม หรือการใช้เวทมนต์อะไรหรอก

ซึ่งโดยธรรมเนียมนิยมแล้ว บุคคลใดก็ตาม ที่จะได้รับการยอมรับว่า เป็นผู้ที่เชื่อถือได้ และรู้จริงในทางเทวศาสตร์อียิปต์

คุณสมบัติพื้นฐานที่สุด ก็ควรจะต้องได้รับการสั่งสอนโดยตรง จากคณาจารย์ผู้เชี่ยวชาญในสายของ Kemetic Reconstructionism ดังที่ผมกล่าวถึงไปแล้วนี้ เท่านั้นละครับ

ผู้ศึกษาเทวศาสตร์ไอยคุปต์ด้วยตนเองก็ดี หรือศึกษาจากนักมายาศาสตร์แขนงอื่น ที่ไม่ใช่เทวศาสตร์ไอยคุปต์อย่างแท้จริง ย่อมไม่สามารถอ้างตัวได้ว่า สิ่งที่เขานำมาใช้นั้น เป็นศาสตร์แห่งเทววิทยาอียิปต์แท้ๆ

และถ้าเป็นอย่างนั้น ก็ไม่มี ความรู้จริง ใดๆ ที่จะทำให้สาธารณชนเชื่อถือว่า สามารถสร้าง หรือปลุกเสกเครื่องราง และเทวรูปอียิปต์

จะเอาศาสตร์อื่น ที่เขาผู้นั้นชำนาญมาใช้แทน ก็ใช้ไม่ได้นะครับ




เพราะว่า เทวศาสตร์ไม่ว่าสาขาใดในโลกนี้ จะต้องประกอบพิธีกรรมตามหลักของศาสตร์นั้นๆ โดยตรง เพียงอย่างเดียวเท่านั้น

จะไปเอาศาสตร์อื่นมาใช้แทน หรือมาผสมปนเป ไม่ได้

นี่เป็น ความจริง ที่มีอยู่ในเทวศาสตร์สาขาต่างๆ ในโลกนี้ มาเป็นระยะเวลาหลายพันปี

จะอ้างความวิเศษส่วนตัว หรือพลังเหนือโลกใดๆ เพื่อจะจับแพะชนแกะกันตามอำเภอใจ ก็อ้างไปเถอะครับ คนทำคนบูชารับผิดชอบกันเอง

เพราะอาถรรพณ์อันเกิดจากการ “ผิดครู” ทางเทวศาสตร์ไอยคุปต์ มันแก้ไม่ได้ด้วยศาสตร์แขนงอื่นครับ รดน้ำมนต์กี่วัดก็เท่านั้น




แต่ทั้งหลายทั้งปวงที่ผมกล่าวมานี้ ความจริงก็มี “ข้อยกเว้น” อยู่บ้าง

คือ...พูดตามตรงนะครับ

ผู้ศึกษาเทวศาสตร์ไอยคุปต์ด้วยตนเอง แต่ศึกษาจากตำราของคณาจารย์ผู้เชี่ยวชาญในสายของ
Kemetic Reconstructionism โดยแม้จะมิได้เป็นศิษย์โดยตรง แต่มี sense ที่ทำให้สามารถเข้าถึงสารัตถะ ของเทวศาสตร์ไอยคุปต์

จนสามารถนำมาใช้อย่างได้ผล เป็นที่ยอมรับของเทพเจ้า และเป็นที่ประจักษ์ของวงการ

ก็มีนะครับ ไม่ใช่ไม่มี

แต่เมื่อเป็นเรื่อง “เฉพาะบุคคล” เกินไป ผมจึงแนะนำ ให้ยึดถือหลักการ หรือมาตรฐานทั่วไปไว้ก่อนครับ

หรือที่ง่ายที่สุด ก็ใช้ประสบการณ์ตรงของเรานั่นแหละ

ใครเก่งจริงไม่เก่งจริง ก็ตัดสินกันด้วยประสบการณ์เชิงประจักษ์ 

แต่ถ้าจะทำอย่างนั้น ตัวเราเองก็ต้องสั่งสมความรู้ในภาคทฤษฎี ของเทวศาสตร์ไอยคุปต์ไว้มากๆ ด้วยนะครับ ถึงจะตัดสินได้อย่างเที่ยงตรง

ยิ่งได้รู้เห็นภาคปฏิบัติ จากคนที่เขาทำได้จริงมาแล้ว ยิ่งดีมากขึ้น




อันที่จริงแล้ว ผมพูดตรงๆ นะครับ เทวศาสตร์ไอยคุปต์มิได้วิเศษ หรือสูงส่งไปว่าเทวศาสตร์อินเดีย จีน หรือยุโรปโบราณแต่อย่างใดหรอก

เพียงแต่กฎเกณฑ์ดังที่กล่าวไปแล้ว ซึ่งมุ่งให้ยึดถือ ความเป็นศาสตร์ (Science) ตวามใกล้เคียงต้นฉบับ (Authentic) มากกว่า บุคคล (Personality) ถือว่าเป็นสิ่งที่ยอมรับกันทั่วไปในสากลโลก

เป็นเรื่องธรรมดาที่ว่า ของแท้ย่อมดีกว่าของเทียม หรือของที่เกิดจากการคิดเอาเองเสมอ 

แต่ก็เป็นธรรมดาอีกเหมือนกันครับ ที่ของแท้จะหาได้ยากกว่า

ของปลอมย่อมหาง่าย และมีอยู่หลายโอกาสที่ปลอมได้อย่างแนบเนียน จนชวนให้เชื่อว่าเป็นของแท้

……………………………


หมายเหตุ : เนื้อหาในบทความนี้ มีลิขสิทธิ์ ใครจะนำไปใช้อ้างอิงที่ใด ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมด จะต้องระบุ URL ของแต่ละบทความด้วย และห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าโดยเด็ดขาด

วันอังคารที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2561

คุรุเทพแห่งอียิปต์โบราณ ตอนที่ 2





ในตอนที่แล้ว ผมพูดถึงคุรุเทพ 3 องค์ ในนิกายที่นับถือจอมเทพโอสิริสเป็นใหญ่

ตอนนี้ ก็จะพูดถึงอีก 3 องค์ที่เหลือ ซึ่งมีทั้งเทพที่สาวกไอยคุปต์รู้จักดี และเทวีที่ถ้าไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้จริงๆ จะไม่เคยเห็นเลยครับ

โดยในนิกายที่นับถือสุริยเทพรานั้น คุรุเทพที่นับถือกันเป็นเทวสตรี นั่นคือ มหาเทวีฮาเธอร์ (Hathor)

มหาเทวีองค์นี้ ทรงมีพระนามในภาษาอียิปต์ว่า เฮ็ท-เฮร์ต (Het-Hert)  และทรงเป็นเทพนารีที่เป็นที่เคารพรักอย่างกว้างขวางอีกองค์หนึ่ง ทั่วผืนแผ่นดินไอยคุปต์โบราณ       

พระนางเปรียบเหมือนวีนัสของอียิปต์ คือทรงเป็นสัญลักษณ์ของความรัก ความใคร่ กามารมณ์อันร้อนแรง ความเฉิดฉาย และความมีเสน่ห์ของเพศหญิงครับ

อันที่จริง พระนางเป็นเทวีแห่งทุกสิ่งทุกอย่าง รวมทั้งศิลปวิทยาการทุกสาขาด้วย




โดยคติดั้งเดิมที่สุดของพระนางนั้น คือการนับถือในฐานะของแม่โคแห่งสวรรค์ บางคัมภีร์กล่าวว่า พระนางคือมารดาแห่งเอกภพ ผู้ควบคุมทั้งสวรรค์และบาดาล และครองฟ้าทั้งในซีกบูรพทิศและประจิมทิศ

สัญลักษณ์ของพระนางคือวัวสวรรค์ และพระนางก็ทรงเป็นสุริยเทวีองค์หนึ่งด้วยนะครับ ดังจะเห็นได้จากศิราภรณ์ที่เป็นรูปเขาวัวสีดำ และดวงอาทิตย์

พระนางทรงได้รับความเคารพบูชาอย่างมากมาย ต่อเนื่องในทุกราชวงศ์ และในแทบทุกเมืองของอาณาจักรอียิปต์ จนแต่ละนิกายพยายามดึงพระนางเข้าไปมีส่วนร่วมในบทบาทที่แตกต่างกันไป

นั่นก็เพราะว่า ในผืนแผ่นดินอียิปต์โบราณนั้น มีหลายลัทธิศาสนา เช่นเดียวกับอินเดียโบราณครับ

ลัทธิไหนนับถือเทวะองค์ใดเป็นใหญ่  และเคารพยกย่องมหาเทวีฮาเธอร์ด้วย  ก็จะพยายามนำพระนางเข้าไปเกี่ยวข้องกับเทวะองค์นั้น ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งเสมอ 




เช่น การที่นิกายสุริยะอ้างว่า พระนางทรงเป็นธิดาของสุริยเทพรา ในขณะเดียวกัน ก็มีลัทธิย่อยในนิกายนี้ ที่ระบุว่าทรงเป็นชายาอีกองค์หนึ่งของสุริยเทพ

หรือในอีกลัทธิย่อย ของนิกายสุริยะเช่นกัน ที่นับถือ นางพญาสิงโตเซ็คเมต (Sekhmet) และกล่าวว่า มหาเทวีฮาเธอร์ทรงเป็นภาคที่สวยงามของเทวีเซ็คเมตผู้ดุร้าย ก็คือการจับพระนางมาเป็นธิดาของสุริยเทพรา และเอาไปรวมกับเทวีสิงโตอีกองค์หนึ่งนั่นเอง

ในลัทธิที่บูชา มหาเทพโฮรุส (Horus) ก็มีทั้งกล่าวว่า พระนางทรงเป็นชายา และพระมารดาของพระองค์

มหาเทวีฮาเธอร์ ทรงเป็นคุรุเทพแห่งนาฏดุริยางค์ การละคร ศิลปะการแสดงทุกสาขา ดังเทวรูปของพระนางที่มักจะทรงถือ ซิสทรัม (Sistrum) ซึ่งเป็นเครื่องให้จังหวะในพิธีกรรม

เทวสถานของพระนางที่เมือง เดนเดรา (Dendera) นั้น เป็นศูนย์กลางด้านนาฏดุริยางค์อย่างแท้จริงครับ




พระนางยังทรงเป็นเทพแห่ง สุคนธศาสตร์ (Aromatherapy) ซึ่งทั่วโลกยอมรับกันว่า ศาสตร์แขนงนี้มีกำเนิดมาจากอียิปต์

และนักบวชหญิงในเทวสถานของพระนาง ก็มีชื่อเสียงว่าเชี่ยวชาญในด้านการปรุงน้ำหอม และน้ำมันหอมมากที่สุดในโลกโบราณ

นอกจากมหาเทวีฮาเธอร์แล้ว ก็คือ มหาเทพพทาห์ (Ptah) ที่ทรงเป็นคุรุรุ่นเก่าที่สุดอีกองค์หนึ่ง ทรงเป็นที่เคารพบูชามาตั้งแต่ก่อนสมัยราชวงศ์ และทรงเป็นผู้อุปถัมภ์นคร เมมฟิส (Memphis)

จริงๆ แล้ว พระนามของเทพองค์นี้ ฝรั่งบอกว่าควรออกเสียงคล้ายๆ ตาฮฺ ครับ

โดยเสียง t นั้น ออกเสียง ต. เบากว่า ต. ปกติ เพราะมี p อยู่ข้างหน้า ซึ่งเป็นการเน้นให้ออกเสียง t ในแบบที่ soft กว่า t ในภาษาโบราณทั่วไป จนเกือบจะเป็นเหมือนเสียง t ในภาษาอังกฤษทุกวันนี้ไงครับ

นักแปลสารคดีไทย ที่เอาเรื่องของมหาเทพองค์นี้มาเขียนกันตั้งแต่รุ่นแรกๆ จึงทับศัพท์พระนามของพระองค์ว่า พทาห์ หรือไม่ก็ พตาห์ ซึ่งผมเห็นว่า พทาห์ เป็นการทับศัพท์ที่ใกล้เคียงที่สุด จึงใช้ตามนี้มาตลอด




ประติมานวิทยาของมหาเทพพทาห์ คือเทพบุรุษที่ไว้พระเกศาสั้นเกรียน โดยในตำราเก่าหรือทั่วไป มักกล่าวว่าพระเศียรโล้น

แต่เมื่อเปรียบเทียบกับโบราณวัตถุ ซึ่งแสดงถึงกษัตริย์และเจ้าชายต่างๆ ที่พระเศียรโล้นอย่างแท้จริงแล้ว ก็แตกต่างกัน

เพราะไม่ว่าจะเป็นประติมากรรม หรือภาพเขียนต่างๆ ถ้าเป็นรูปบุคคลที่ศีรษะล้าน ในศิลปะอียิปต์ เขาจะทำศีรษะให้เป็นสีเดียวกับสีผิวหนังของบุคคลนั้นเสมอครับ

ขณะที่บางคนซึ่งตัดผมสั้นเกรียน ศีรษะก็จะเป็นสีดำเช่นเดียวกับมหาเทพพทาห์

จริงๆ แล้ว คนอียิปต์โบราณ ทั้งชายและหญิงมักโกนศีรษะ เพื่อไม่ต้องเป็นภาระที่จะต้องคอยดูแลรักษาเส้นผม จากโรคบนหนังศีรษะต่างๆ ที่ชุกชุมมากในแถบโอเอซิส แล้วถ้าเป็นผู้หญิง ก็จะสวมวิกผมแทน

ดังนั้น ถ้ามหาเทพพทาห์ทรงมีพระเศียรโล้น ก็จะดูแตกต่างจากเทพเจ้าองค์อื่น แต่ไม่แตกต่างจากตนอียิปต์ทั่วๆ ไปหรอกครับ

แต่นี่พระองค์ยังทรงไว้พระเกศาแบบที่พบได้ไม่บ่อยนัก ในศิลปะอียิปต์โบราณด้วย

ฉลองพระองค์ของมหาเทพพทาห์ เป็นแบบมัมมี่ คล้ายจอมเทพโอสิริส แต่ทรงถือสัญลักษณ์ที่เกิดจากการผสมระหว่างไม้เท้า วาซ เซ็พเทอร์ (Was Sceptre)  เจ๊ด (Djed : เครื่องรางรูปกระดูกสันหลัง) และ อังค์ (Ankh)

ซึ่งมีความหมายถึงพลังอำนาจของเทวะ  ความมั่นคง และการปกป้องคุ้มครอง

ในลัทธิที่บูชาพระองค์นั้น มหาเทพพทาห์ทรงมีเทวานุภาพยิ่งใหญ่ที่สุดครับ พระองค์ทรงเป็นผู้สร้างโลก ทรงเป็นแกนกลางของสรรพสิ่ง อีกทั้งยังทรงเป็นเทพผู้ครองพิภพและใต้บาดาล

คติดังกล่าวนี้ ทำให้ในเวลาต่อมา พระองค์จึงยังคงเป็นหนึ่งในเทพเจ้าผู้คุ้มครองดวงวิญญาณของคนตาย เชื่อกันว่าพระองค์ทรงทำให้วิญญาณนั้นมีความคงทนและแข็งแกร่ง ในระหว่างรอการเกิดใหม่

อีกทิพยภาวะหนึ่ง ซึ่งเป็นคุณสมบัติของพระองค์ในทุกยุคทุกสมัย คือพระองค์ทรงเกี่ยวข้องกับการตั้งบ้านเมือง การก่อรูปจากเล็กไปหาใหญ่ และการวางแผนงานขนาดใหญ่ทุกชนิดครับ 

      


พระองค์ทรงอยู่ในวัสดุที่มีความแข็งแรง ทรงเกี่ยวข้องกับกระดูกสันหลัง ในฐานะแกนกลางในร่างกายของมนุษย์และสัตว์  เช่นเดียวกับที่ทรงเกี่ยวข้องกับแกนกลางของพืช 

ดังนั้ร พระองค์ทรงเป็นแกนหลักของทุกๆ โครงสร้าง และในขณะเดียวกัน ก็ทรงเป็นรากฐาน และโครงสร้างของสรรพสิ่ง สารัตถะของพระองค์ คือการเป็นศูนย์กลาง และทุกสิ่งที่จำเป็น 

โดยทางเทวศาสตร์แล้ว เจ๊ด จึงเปรียบเหมือนคุณสมบัติของมหาเทพองค์นี้ และเป็นเครื่องรางประจำพระองค์ด้วยครับ

ผู้บูชามหาเทพพทาห์ยกย่องว่า พระองค์ทรงอยู่ในทุกหนทุกแห่งที่มีการสร้างสรรค์  ทรงเป็นคุรุเทพผู้คิดค้นงานช่างฝีมือสาขาต่างๆ โดยเฉพาะงานประติมากรรม สถาปัตยกรรม และวิศวกรรม ความรู้ในการสร้างงานถาวรวัตถุต่างๆ ในโลกนี้ ล้วนมาจากพระองค์

เมื่อ ฟาโรห์เมเนส (Menes) รวบรวมอาณาจักรอียิปต์บนและล่างได้สำเร็จ และก่อตั้งราชวงศ์ที่ 1 ขึ้นในประวัติศาสตร์อียิปต์ ได้ทรงยกย่องมหาเทพองค์นี้ ให้เป็นเทพบิดรของเทพเจ้าทุกองค์

เชื่อกันว่า เป็นเพราะมหาเทพพทาห์ ทรงประทานการปกป้องคุ้มครององค์ฟาโรห์เมเนสในหลายๆ สถานการณ์  และทรงเกี่ยวข้องกับการสร้างอาณาจักรของฟาโรห์พระองค์นี้ด้วย ดังที่ทรงมีพระสมัญญานามว่า The White Wall of Menes 

ด้วยเหตุดังกล่าว มหาเทพองค์นี้จึงทรงมีเทวฐานะเป็นพระเป็นเจ้าสูงสุดมาก่อนยุครุ่งเรือง ของคติการนับถือสุริยเทพรา และจอมเทพโอสิริสครับ  




และนอกจากฟาโรห์เมเนส ผู้รวมแผ่นดินไอยคุปต์แล้ว จอมราชันย์อีกหลายพระองค์ในยุคหลัง ก็ทรงนับถืมหาเทพองค์นี้เป็นอย่างมาก

เช่น ฟาโรห์เซติที่ 1(Seti I)  และ ฟาโรห์ราเมสซิสที่ 2 (Ramesses II)  มหาราชทั้งสองพระองค์นี้ ล้วนทรงมีพระราชอำนาจที่มั่นคง ในการปกครองอาณาจักรทั้งสิ้น

แต่ต่อมา เมื่อคติการบูชาสุริยเทพราเจริญขึ้น ลัทธิการบูชามหาเทพพทาห์ ก็ถูกรวมเข้ากับนิก่ยสุริยะดังกล่าว

และในสมัยหลังๆ ยังมีผู้พยายามรวบรวมคติการนับถือ เทวีบาสเต็ต (Bastet) และเทวีเซ็คเมต เข้ากับการบูชาพระองค์ด้วย โดยกล่าวว่า เทพนารีทั้งสองทรงเป็นชายาของพระองค์

แล้วก็มาถึงคุรุเทวีองค์สุดท้าย ที่ผมบอกแล้วว่า ถ้าใครไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้อียิปต์ จะไม่เคยเห็นกันเลยครับ

นั่นคือ เทวีเซชัต (Seshat)




พระนางทรงเหมือนกับ มหาเทพธอธ (Thoth) มากครับ ทรงเป็นเทวีแห่งปรีชาญาณ สติปัญญา ความรู้ และการเขียน ทรงเป็นอาลักษณ์ และ ผู้ดูแลรักษาคัมภีร์ต่างๆ

พระนามของเทพนารีองค์นี้ หมายถึง she who is the scribe ในลัทธิศาสนาที่บูชาพระนาง ยกย่องว่าพระนางทรงเป็นผู้ประดิษฐ์คิดค้นตัวอักษร เช่นเดียวกับมหาเทพธอธ

พระนางยังทรงเป็นเทพธิดาแห่งการบัญชี สถาปัตยกรรม ดาราศาสตร์ โหราศาสตร์ วิศวกรรม คณิตศาสตร์ และการสำรวจ ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้คือวิชาชีพที่จะต้องอาศัยความชำนาญในทักษะของพระนาง ซึ่งเอกสารยุคหลังๆ บางฉบับได้ถวายสมญานามในด้านนี้อย่างเฉพาะเจาะจงว่า Safekh - Aubi

เทพนารีแห่งห้องสมุด (Mistress of the House of Books) เป็นอีกฉายาหหนึ่งสำหรับพระนาง โดยนักบวชในสังกัดของพระนางนั้น จะเป็นนักบวชที่ทำหน้าที่ดูแลหอคัมภีร์ของเทวสถาน ซึ่งเป็นที่รวบรวมและเก็บรักษาม้วนกระดาษปาปิรัส ที่จารึกเวทมนต์คาถา และวิทยาการที่สำคัญที่สุด

มีศิลาจารึกกล่าวถึง เจ้าชาย Wep-em-nefret แห่งราชวงศ์ที่ 4 ซึ่งทรงบังคับบัญชากรมอาลักษณ์หลวง และเป็นนักบวชของเทวีเซชัต แสดงว่า ลัทธิของพระนางต้องเก่าไปถึง 2,500 ปีก่อนคริสตกาลเป็นอย่างน้อยละครับ

คุณสมบัติที่สำคัญที่สุดของพระนาง คือ ทรงเป็นเทพธิดาแห่งพงศาวดาร และลำดับราชวงศ์ อันเป็นสถาบันสูงสุดของแผ่นดินไอยคุปต์




โดยในรูปภาพของพระนาง มักทรงถือต้นปาล์มซึ่งมีลักษณะพิเศษ อันเป็นสัญลักษณ์แห่งกาลเวลา และการควบคุวัฏจักรแห่งพระชนม์ชีพของฟาโรห์ทุกพระองค์ ซึ่งพระนางจะทรงบันทึกระยะเวลาที่กำหนดให้ฟาโรห์อยู่ในแผ่นดินโลก ไว้ในต้นปาล์มนี้ละครับ

นอกจากนี้ พระนางยังทรงเป็นผู้กำกับดูแล ในการบันทึกพระปฐมราชโองการ ของฟาโรห์ ในช่วงพิธีราชาภิเษกด้วย

ดังนั้น ในสมัยอาณาจักรใหม่ พระนางจึงได้รับการอัญเชิญเป็นพิเศษ ในเทศกาล Sed ที่จัดโดยฟาโรห์พระองค์ใดก็ตามที่ครองราชาย์ยาวนานครบ 30 ปี

ในฐานะเทวีแห่งอักษรศาสตร์ และวิศวกรรม พระนางยังทรงเป็นผู้อุปถัมภ์องค์ฟาโรห์ ในทั้งสองศาสตร์นี้ด้วยครับ

ทรงช่วยเหลือองค์ฟาโรห์ ในพิธีวางรากฐานของเทวาลัย และโครงสร้างอาคารที่สำคัญอื่น ๆ เพื่อกำหนดการวางมณฑลทางเทวศาสตร์ รวมทั้งทรงช่วยเหลือนักบวชในการสำรวจรังวัดที่ดิน หลังจากน้ำท่วมประจำปีด้วย

ดังที่รูปภาพของพระนาง ที่ทรงถือเครื่องมือรังวัดสำหรับที่ดิน และสถาปัตยกรรม




ความรู้ในเรื่องเหล่นี้ ถือว่าเป็นสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์ และไม่ได้มีอยู่ในกลุ่มผู้เชี่ยวชาญชั้นสูง เช่นสถาปนิกทุกคนเสมอไปนะครับ

ประติมานวิทยาที่สำคัญที่สุดของเทพนารีองค์นี้ คือ สัญลักษณ์ที่อยู่เหนือพระเศียร ซึ่งยังไม่ชัดเจนว่าสื่อความหมายถึงอะไร ฟาโรห์ทุธโมสิสที่ 3 (Tuthmosis iii 1,479-1,425 ปีก่อนคริสกาล) ก็ทรงเรียกพระนางจากสัญลักษณ์เดียวกันนี้ว่า Sefket-Abwy (She of seven points) แต่ก็ไม่มีการอธิบายว่าหมายถึงอะไรกันแน่

ฉลองพระองค์ของพระนาง ก็แตกต่างกับเทพนารีองค์อื่นอย่างเห็นได้ชัดครับ

คือมักเป็นหนังเสือชีตาห์ หรือ เสือดาว อันเป็นสัญลักษณ์ของนักบวชในพิธีมรณะ ซึ่งมีทั้งแบบที่พาดอยู่บนฉลองพระองค์ปกติ และแบบที่เป็นฉลองพระองค์ทั้งชุด

การที่พระนาง และนักบวชในพิธีมณะของอียิปต์ ต้องนุ่งห่มหนังเสือ คือการสื่อความหมายถึงดวงดาว ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งนิรันดร์กาล และเกี่ยวข้องกับท้องฟ้ายามราตรีครับ

ดังในมนต์บทที่ 10 ของจารึกบนโลงศพ (Coffin Texts) ซึ่งกล่าวว่า พระนางทรงเปิดประตูสวรรค์ สำหรับผู้วายชนม์




เทวีเซชัต มักได้รับการกล่าวถึงอย่างใกล้ชิดมหาเทพธอธ และเพราะว่าทรงอุปถัมภ์ในเรื่องเดียวกัน บทบาทของทั้งสององค์จึงทับซ้อนกันอยู่เสมอ

และก็เหมือนกับมหาเทวีฮาเธอร์ครับ คือบางครั้งก็มีการระบุว่า ทรงเป็นชายาของมหาเทพธอธ (โดยเฉพาะในสายการบูชาที่ไม่ให้ความสำคัญกับเทวีมาอัต Ma’at ซึ่งโดยทั่วไปถือว่าเป็นชายาของมหาเทพธอธ) บางครั้งพระนางก็ทรงเป็นธิดา

เทวสถานที่สำคัญที่สุดของพระนาง อยู่ที่เมือง เฮลิโอโปลิส (Heliopolis) แต่ก็ไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่มากนักในปัจจุบัน แม้แต่เทวรูป และภาพเขียนของพระนางก็หายากครับ


……………………………

หมายเหตุ : เนื้อหาในบทความนี้ มีลิขสิทธิ์ ใครจะนำไปใช้อ้างอิงที่ใด ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมด จะต้องระบุ URL ของแต่ละบทความด้วย และห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าโดยเด็ดขาด

วันอาทิตย์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2561

คุรุเทพแห่งอียิปต์โบราณ ตอนที่ 1





ศาสนาอันลี้ลับแห่งอียิปต์โบราณ มีเทพเจ้านับพัน แต่มีนิกายใหญ่ที่สุดอยู่ 2 นิกายหลักๆ

คือนิกายที่นับถือ จอมเทพโอสิริส (Osiris) เป็นเทพสูงสุด และนิกายที่นับถือ สุริยเทพรา (Ra) เป็นเทพสูงสุด

ซึ่งองค์คุรุเทพของทั้งสองนิกาย ได้รับการนับถือบูชาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่สมัยอียิปต์โบราณ สมัยกรีก-โรมัน มาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้

จอมเทพโอสิริส ทรงมีพระนามในภาษาอียิปต์ว่า อูสิเร (Usire) หรือ เวซีร์ (Wesir) ทรงมีทิพยฐานะ เป็นพระเป็นเจ้าสูงสุดตามคติโอสิเรียน ซึ่งเป็นนิกายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในทางเทววิทยาไอยคุปต์  

ประติมานวิทยาของพระองค์ เป็นรูปมนุษย์ที่ห่อหุ้มด้วยผ้าขาวเหมือนมัมมี่ ทรงถือธารพระกรปลายงอ และแส้อันเป็นเครื่องประกอบพระยศของฟาโรห์ 




พระฉวีของพระองค์เป็นสีเขียว หมายถึงสัญลักษณ์ของการเจริญเติบโต หรือการเกิดใหม่ แสดงถึงการที่ทรงเกี่ยวข้องกับพืชพันธุ์ธัญญาหารต่างๆ  

ตามเทวปกรณ์ที่รู้จักกันทั่วไป พระองค์ทรงเป็นฟาโรห์ หรือเทวกษัตริย์องค์ที่ 2 ที่ปกครองดินแดนอียิปต์ต่อจากสุริยเทพรา 

โดยพระมารดาของพระองค์ คือ เทวีนุท (Nut) ทรงเป็นชายาของสุริยเทพราอยู่เป็นเวลานานนับสิบๆ ปี แต่ก็ไม่สามารถมีพระโอรสธิดาถวาย

ด้วยความขัดเคือง องค์สุริยเทพจึงสาปพระนาง ให้พระนางไม่สามารถให้กำเนิดเทพเจ้าองค์ใดได้ไม่ว่าในวันและปีใด 

มหาเทพธอธ (Thoth) จึงได้ทรงช่วยเหลือ โดยเสด็จไปเล่นหมากรุกกับ จันทรเทพคอนซู (Khonsu) ทำให้จันทรเทพต้องถูกหน่วงเหนี่ยวให้ส่องแสงอยู่นาน จนกลายเป็นวันพิเศษเพิ่มขึ้นอีก 5 วัน ในช่วงรอยต่อระหว่างปีเก่าและปีใหม่ของปฏิทินอียิปต์





และในช่วงวันพิเศษนี้ เทวีนุทได้ให้กำเนิดพระโอรสธิดาวันละองค์ คือ จอมเทพโอสิริสเทพฮาร์มาคิส (Harmachis) เทพเซธ (Seth) พระเทวีไอซิส (Isis) และ เทวีเนฟธีส (Nephthys)

จอมเทพโอสิริสทรงได้รับการถวายความรู้ด้านศิลปวิทยาการ รวมทั้งมายาศาสตร์แขนงต่างๆ จากมหาเทพธอธ 

เมื่อเจริญพระชันษา พระองค์ได้เสกสมรสกับพระเทวีไอซิส จึงเป็นประเพณีที่ฟาโรห์ไอยคุปต์ จะต้องเสกสมรสกับพระภคินีของพระองค์เอง   

ขณะนั้น สุริยเทพราทรงครองบัลลังก์ไอยคุปต์อยู่ในฐานะเทวกษัตริย์ หรือฟาโรห์พระองค์แรก ณ เวลาดังกล่าว ชนเผ่าต่างๆ สองฝั่งลุ่มแม่น้ำไนล์ยังคงเป็นคนป่าเถื่อน และสุริยเทพก็ทรงชราภาพลงทุกที 

เมื่อความวุ่นวายเริ่มเกิดขึ้นในหมู่มนุษย์ และพระเทวีไอซิสไม่ทรงเห็นความพยายามใดๆ ของเหล่าเทวะที่จะช่วยคนพวกนี้ให้พ้นจากความป่าเถื่อน จึงเนรมิตงูเห่าตัวแรกขึ้นในแผ่นดินอียิปต์ 

มันได้ฉกกัดสุริยเทพรา และทำให้พระองค์ได้รับความเจ็บปวดแทบสิ้นพระชนม์

ไม่มีหนทางรักษาอย่างอื่น องค์สุริยเทพต้องทรงบอกพระนามลับของพระองค์ แก่พระเทวีไอซิส เพื่อให้พระนางทรงใช้เวทมนต์ช่วยเหลือพระองค์ได้ 

หลังจากนั้น จอมเทพโอสิริสจึงได้รับพระราชทานบัลลังก์จากสุริยเทพรา ให้ปกครองมนุษยโลกต่อไป

จอมเทพโอสิริสทรงปกครองมนุษย์โลกด้วยพระเมตตาธรรม ทรงเป็นตัวอย่างของผู้กระทำตนดีที่สุด ทรงสั่งสอนจริยธรรม และศิลปวิทยาการต่างๆ ให้บรรพชนในแถบลุ่มน้ำไนล์พ้นจากความป่าเถื่อน กลายเป็นชนชาติที่มีอารยธรรม 




พระองค์ทรงมีวิธีการสอน การโน้มน้าวใจ และการปกครองที่นิ่มนวล ทรงรับฟังแม้ความคิดเห็นที่โง่เขลาที่สุด และทรงทำลายความหลงผิดทั้งหลาย ด้วยปรีชาญาณ 

อีกทั้งพระองค์ยังทรงมุ่งมั่น ที่จะช่วยเหลือทุกคนโดยไม่เหน็ดเหนื่อย ทรงเชื่อมั่นในความดีของพระองค์เอง และทรงเป็นที่เคารพรักแก่คนทั่วไปด้วยบุญญานุภาพนั้น      

ดังนั้น พระองค์สามารถยกเลิกสงครามระหว่างชนเผ่า และประเพณีอันชั่วร้ายทั้งหลาย เช่นการบูชายัญด้วยมนุษย์ หรือการกินเนื้อมนุษย์ด้วยกัน

โดยทรงร่างกฎหมาย ตลอดจนระเบียบทางสังคม ให้ทุกคนอยู่ร่วมกันโดยความสงบสุข รวมทั้งทรงสั่งสอนให้รู้จักพิธีกรรมในการบูชาเทพเจ้าที่ถูกต้อง

ซึ่งด้วยพระบารมี และคุณลักษณะอันเป็นที่เคารพรักดังกล่าวแล้ว ประชาชนทั้งหลายก็ยินยอม โดยพระองค์ไม่จำเป็นต้องบังคับด้วยพระเดชานุภาพเลยครับ          

และพระองค์ยังประทานความรู้ในการเกษตร การชลประทาน การทำขนมปังจากการโม่แป้งสาลี และวิธีการทำไวน์จากองุ่นอีกด้วย            

เมื่อโครงการของพระองค์สำเร็จด้วยดีดังนี้ พระองค์ได้เสด็จออกจากอียิปต์ไปชั่วคราว พร้อมกับมหาเทพธอธ และนักปราชญ์ทั้งหลาย เพื่อตระเวนสั่งสอนผู้คนในดินแดนอื่น ให้มีอารยธรรมดุจเดียวกัน 

ในช่วงที่พระองค์ไม่อยู่ เทพเซธได้พยายามช่วงชิงอำนาจจากพระเทวีไอซิส ซึ่งทรงเป็นผู้สำเร็จราชการ แต่ก็พ่ายแพ้แก่พระเทวีมาตลอด 

เมื่อองค์จอมเทพเสด็จนิวัติพระนคร เทพเซธจึงแสร้งกลับใจและจัดงานเลี้ยงถวาย จนสามารถหลอกม้พระองค์ลงไปประทับนอนในหีบไม้ ซึ่งเทพเซธสั่งให้ปิดฝาตรึงไว้แน่น และนำไปโยนทิ้งไว้ในแม่น้ำไนล์ ยังผลให้องค์จอมเทพสิ้นพระชนม์




หีบไม้นั้นได้ลอยไปถึงเกาะไบบลอส และถูกต้นแทมมาริสค์ห่อหุ้มไว้ ต่อมาก็ถูกนำไปจำหลักทำเสาประดับพระราชวัง ของพระราชาแห่งไบบลอส โดยไม่มีใครล่วงรู้เลยว่ามีอะไรอยู่ในนั้o

ในไม่ช้า พระเทวีไอซิสก็ทรงติดตามไปพบ และทรงนำพระศพพระสวามีออกจากต้นแทมมาริสค์นั้นจนได้ในที่สุด

พระศพของจอมเทพโอสิริส ได้ถูกนำไปรักษาไว้ ณ เกาะเชมมิส เพื่อรอการปลุกให้ฟื้นคืนชีพด้วยอำนาจมนต์ของพระเทวีไอซิส      

แต่ในไม่ช้า เทพเซธก็ค้นพบที่ซ่อนดังกล่าว และบั่นพระศพออกเป็นจำนวน 14 ชิ้น  นำไปโปรยไว้ตลอดลำน้ำไนล์ 

พระเทวีไอซิสต้องทรงใช้เวลาเป็นแรมปี เสด็จรวบรวมชิ้นส่วนพระศพมาประกอบเข้าด้วยกันอีกครั้งจนสมบูรณ์  แล้วทรงใช้เวทมนต์ประจุพลังชีวิตอมตะแด่พระสวามี 

แต่ในเวลานั้น พระวิญญาณของจอมเทพโอสิริสได้เข้าเขตปรโลกแล้ว พระองค์จึงได้กลายเป็นพระเป็นเจ้าสูงสุดแห่งสัมปรายภพ 

พระองค์จะประทับอยู่บนบัลลังก์ในหอพิพากษา (Hall of Judgement) ที่ซึ่งวิญญาณทุกดวง จะต้องเข้ารับการพิพากษาว่าจะลงนรก หรือได้ไปสวรรค์ เพื่อรอเวลาที่จะกลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง ภายหลังวันสิ้นโลก

ในทางเทววิทยาอียิปต์ จอมเทพโอสิริสทรงเกี่ยวพันกับ หมู่ดาวโอไรออน (Orion)  ซึ่งมีแสงสว่างสุกใสชัดเจนที่สุดบนท้องฟ้ายามค่ำคืน และมีวิถีโคจรอันเนิ่นนาน

คุรุเทพอีกองค์หนึ่งในนิกายโอสิเรียน ก็คือ พระเทวีไอซิส พระชายาของจอมเทพโอสิริสนั่นเองครับ




พระนามในภาษาอียิปต์โบราณของพระนางคือ อะเซ็ต (Aset) หรือ เอเซ็ต (Eset)

ส่วนพระนาม ไอซิส ที่ใช้กันทั่วไปในปัจจุบันนี้ เป็นการออกเสียงแบบอังกฤษ จากภาษากรีกว่า อีซิส (Ίσις)

พระนางทรงเป็นกำลังสำคัญของพระสวามี ในการสร้างสรรค์อารยธรรมต่างๆ เช่นทรงสั่งสอนให้ผู้หญิงรู้จักการทอผ้า การกสิกรรม สอนผู้ชายให้รู้จักการแกะสลัก

เมื่อพระสวามีเดินทางไปเผยแพร่ศิลปวิทยาการที่อื่น พระนางก็ทรงปกครองแผ่นดินแทนด้วยความยุติธรรม และทรงทำให้อียิปต์เจริญงอกงามขึ้นไปอีก

เมื่อพระสวามีเสด็จกลับมา และถูกปลงพระชนม์ พระนางก็ทรงช่วยให้พระสวามีฟื้นคืนชีพ ดังมีภาพของพระนางในลักษณะที่กำลังพายเรือ ติดตามรวบรวมชิ้นส่วนพระศพพระสวามี ตามแม่น้ำไนล์ไปจนถึงไบบลอส (Byblos)

พระนางทรงเป็นหัวใจสำคัญของเทวปกรณ์โอสิเรียน คุณลักษณ์แห่งความซื่อสัตย์จงรักภักดีของพระนาง ที่ทรงถวายแด่พระสวามีนั้น เป็นแบบอย่างแห่งการรับใช้ และการอุทิศทางจิตวิญญาณอย่างแท้จริงครับ

ดังนั้นจึงถือกันว่า ทรง้ป็นผู้คุ้มครองราชบัลลังก์ของกษัตริย์อียิปต์ทุกองค์

พระนางทรงได้รับการบรรยายในจารึกว่า ทรงเป็นผู้หญิงที่ฉลาด ทรงมีปรีชาญาณยิ่งกว่าเทวะนับพัน ทรงรู้แจ้งถึงทุกสิ่งในท้องฟ้าและโลก

ทรงมีวาจาสิทธิ์ ทรงได้รับพลังอำนาจสูงสุด ยิ่งกว่าเทพเจ้าองค์ใด จากการล่วงรู้พระนามลับขององค์สุริยเทพ ด้วยเหตุนั้น พระนางจึงทรงเป็นเจ้าของเวทมนต์ต่างๆ ซึ่งชาวอียิปต์โบราณเรียกว่า ถ้อยคำแห่งอำนาจ (Hecau) ทั้งปวง





ความเป็นคุรุเทพของพระนาง จึงเกี่ยวข้องกับในด้านของมายาศาสตร์ และการใช้เวทมนต์ ซึ่งเป็นศาสตร์ที่สำคัญที่สุดของศาสนาอียิปต์โบราณครับ

คติการนับถือพระเทวีไอซิส ไม่เคยเสื่อมเลยในอียิปต์ แม้ว่าอียิปต์จะตกเป็นของกรีก ชาวกรีกก็กลับรับเอาคติการนับถือพระนาง ไปสถาปนาเป็นลัทธิอันลี้ลับในดินแดนกรีกด้วยซ้ำไป แม้แต่พระนางคลีโอพัตรา ราชินีองค์สุดท้ายของอียิปต์ ก็นับถือพระนางมาก

หลังรัชสมัยของพระนางคลีโอพัตรา ลัทธิที่นับถือพระเทวีไอซิส กลับยิ่งรุ่งเรืองในกรีก และต่อเนื่องไปถึงสมัยโรมัน จนกลายเป็นไม้เบื่อไม้เมากับศาสนาคริสต์ ที่กำลังก่อร่างสร้างตัวขึ้น

เมื่อศาสนาคริสต์กลายเป็นศาสนาหลักของโรมัน ลัทธิของพระนางในโรมันและในอียิปต์ จึงถูกกวาดล้างจนแทบจะสิ้นซาก

แต่ในทางกลับกัน ลัทธิของพระนางกลับกลายเป็นแรงบันดาลใจ และส่งอิทธิพลอย่างเห็นได้ชัด ให้แก่คติการนับถือพระแม่มารีในศาสนาคริสต์ ทั้งในด้านพิธีกรรม และศิลปะ

เนื่องจากได้พบหลักฐานการดัดแปลงเทวสถานของพระนางหลายแห่ง ให้กลายเป็นโบสถ์ของพระแม่มารี รวมทั้งการดัดแปลงเทวรูปของพระนาง ให้เป็นพระรูปของพระแม่มารีในยุคแรกๆ ด้วยครับ




รูปวาดพระแม่มารีในศิลปะเรอเนสซองส์ ประเภทที่เรียกกันว่า Madonna & Child ก็ได้รับแรงบันดาลใจจากรูปพระเทวีไอซิส ขณะให้พระโอรสเสวยพระกษิรธารานั่นเอง

ปัจจุบันนี้ ลัทธิบูชาพระนางถูกรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่ และกลายเป็นลัทธิที่ได้รับความนิยมสูงสุดตลอดกาลลัทธิหนึ่งในกลุ่ม Pagan

นอกจากนั้น ยังเข้าไปผสมผสานกับมายาศาสตร์ตะวันตกอีกมากมายหลายสาขา และมีผู้นับถือพระนางกระจัดกระจายไปทั่วโลกนับล้านคน

กาลเวลานับพันๆ ปีที่ผ่านมา ได้พิสูจน์แล้วถึงความจริงที่ว่า เทวานุภาพแห่งพระเทวีไอซิส ย่อมอยู่เหนืออุปสรรคและความขัดข้องทั้งหลาย สามารถขจัดอาถรรพณ์ มลทิน รวมทั้งอิทธิพลจากสิ่งชั่วร้ายใดๆ ก็ตามที่แฝงเร้นเข้ามาในหนทางแห่งชีวิตของเราได้

ด้วยพลังอำนาจ และปรีชาญาณที่พระนางมอบให้ ผู้ศรัทธาย่อมหลุดพ้นจากโชคชะตาอันเลวร้ายทุกประการ

และคุรุเทพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอีกองค์หนึ่ง ในเทววิทยาไอยคุปต์ ก็คือ มหาเทพธอธ




พระนามของเทพองค์นี้ ในภาษาอียิปต์โบราณของพระองค์คือ เจฮูติ (Djehuti)

พระองค์ทรงมีความชำนาญในการคำนวณแห่งท้องฟ้า ทรงนับดวงดาวทั้งหลายและทรงวัดโลก ทรงเข้าถึงความลับทั้งหมด

พระองค์ยังทรงมีเทวานุภาพ ในการเคลื่อนย้ายวัตถุ ด้วยพลังอำนาจแห่งพระสุรเสียง ทรงคิดค้นวิชาคณิตศาสตร์ และวิศวกรรม ทรงคิดค้นตัวอักษรภาพ ศิลปะในการอ่านและเขียน ตลอดจนวิชาเรขาคณิต การรังวัดที่ดิน เวชกรรมและพฤกษศาสตร์ อักษรไฮโรกลิฟส์ (Hieroglyphs) ก็เกิดมาจากพระองค์ 

มหาเทพธอธปรากฏพระองค์ในสมัยแรกๆ ณ ดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนล์ ดังนั้นจึงทรงมีความสัมพันธ์กับเทพเจ้าและเทวีต่างๆ เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สุริยเทพรา และจอมเทพโอสิริส

โดยในนิกายที่นับถือสุริยเทพราเป็นใหญ่ กล่าวว่ามหาเทพธอธทรงเป็นพระหฤทัย และที่ปรึกษาขององค์สุริยเทพในการปกครอง ตลอดจนการแก้ไขความยุ่งยากต่างๆ รวมทั้งเป็นหนึ่งในผู้พิทักษ์ เรือสุริยะ ด้วย
         
ในขณะที่นิกายโอสิเรียนนั้นกล่าวว่า แม้แต่จันทรเทพคอนซู ซึ่งทรงเป็นเทพแห่งการพนัน ก็ยังไม่อาจเอาชนะเทพแห่งสติปัญญาเช่นมหาเทพธอธได้ แถมยังทรงถูกหลอกให้ส่องแสงอยู่นานเป็นพิเศษถึง 5 วัน ซึ่งทำให้ชายาขององค์สุริยเทพรา ทรงให้กำเนิดเเทพสำคัญ 5 องค์ ในนิกายโอสิเรียนดังกล่าว

เมื่อจอมเทพโอสิริสได้ครองราชย์ และทรงประทานอารยธรรมแก่มวลมนุษย์ มหาเทพธอธก็ทรงเป็นกำลังสำคัญ ในการสอนบรรพชนไอยคุปต์ให้รู้จักเรขาคณิต และการรังวัดที่ดิน เวชกรรม และพฤกษศาสตร์

ทรงประทานความรู้ในด้านดาราศาสตร์ และจักรวาลวิทยา จนทำให้ชาวอียิปต์มีปฏิทินที่ยอดเยี่ยมที่สุดเป็นครั้งแรกในโลกโบราณ

และไม่เพียงแต่ในทางศิลปวิทยาการทุกแขนงเท่านั้นนะครับ มหาเทพธอธยังทรงเป็นเทวบรมครูแห่งวิชามายาศาสตร์อีกด้วย

เวทมนต์ที่พระองค์ประทานแด่พระเทวีไอซิส ทำให้จอมเทพโอสิริสได้ทรงเป็นฟาโรห์ ทำให้พระเทวีไอซิสสามารถรักษาพระศพของจอมเทพโอสิริส และประกอบพระศพของพระสวามี ภายหลังถูกเทพเซธทำลาย  

และหลังจากองค์ ยุวเทพโฮรุส (Horus) ถูกเทพเซธปลงพระชนม์ ก็ด้วยเวทมนต์ของมหาเทพธอธอีกละครับ ที่ดับแสงอาทิตย์ไว้ชั่วคราว จนกระทั่งพระเทวีไอซิสทรงชุบชีวิตยุวเทพโฮรุสได้สำเร็จ   




ประติมานวิทยาของมหาเทพธอธมี 2 อย่าง ที่นิยมกันทั่วไป คือมีพระเศียรเป็นนกช้อนหอย (Ibis) อีกอย่างหนึ่งคือลิงบาบูน

ในประติมานวิทยาที่มีพระเศียรเป็นนกช้อนหอย มักทรงศิราภรณ์รูปพระจันทร์เสี้ยวหรือจานสุริยะ มักปรากฏพระองค์ ในท่าที่กำลังจารอักษรไฮโรกลิฟส์บนแท่งไม้หรือแท่งหิน

ในภาคที่ทรงเกี่ยวข้องกับผู้วายชนม์ พระองค์สวมศิราภรณ์รูปจานสุริยะล้อมรอบด้วย ยูรีอุส (Uraeus) กล่าวกันว่า พระองค์จะทอแสงสีเงินยวง เพื่อนำดวงวิญญาณของผู้ตายข้ามขอบฟ้ายามรัตติกาล จึงทรงมีความสัมพันธ์กับดวงจันทร์ด้วย     

ในหอแห่งการพิพากษาของจอมเทพโอสิริส มหาเทพธอธจะประทับอยู่ร่วมเป็นองค์พยาน ในการชั่งน้ำหนักหัวใจผู้ตายเทียบกับขนนก ซึ่งเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุดที่จะตัดสินว่า ผู้ตายจะได้ไปสวรรค์หรือจะต้องรับการลงทัณฑ์ในนรกภูมิ พระองค์จะเป็นผู้คอยจดบันทึกการชั่งน้ำหนักนั้น





ศูนย์กลางของลัทธิบูชามหาเทพธอธ อยู่ที่เมือง คเนมู (Khnemu) หรือ เฮอร์โมโพลิส (Hermopolis) ในเขตอียิปต์กลาง ที่นี่ได้มีการค้นพบอุโมงค์ใต้ดินขนาดใหญ่ ซึ่งเก็บรักษามัมมี่ของนกช้อนหอย และลิงบาบูนไว้หลายพันตัว  ถือเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์        

และกล่าวกันว่า คำสั่งสอนของพระองค์นั้นมีอยู่ในคัมภีร์ 42 เล่ม ซึ่งได้รับการรักษาสืบทอดกันมาจนทุกวันนี้อย่างเป็นความลับที่สุด


……………………………

หมายเหตุ : เนื้อหาในบทความนี้ มีลิขสิทธิ์ ใครจะนำไปใช้อ้างอิงที่ใด ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมด จะต้องระบุ URL ของแต่ละบทความด้วย และห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าโดยเด็ดขาด

มงคลและอัปมงคล

  * วัตถุมงคลในบทความนี้ ไม่มีให้เช่าบูชา * ผมเคยอ่านโพสต์ใน facebook ของซินแสฮวงจุ้ยท่านหนึ่ง ท่านแนะนำว่า รูปภาพและสิ่งของที่ทำเลียนแบบโ...