วันอาทิตย์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2561

คุรุเทพแห่งอียิปต์โบราณ ตอนที่ 1





ศาสนาอันลี้ลับแห่งอียิปต์โบราณ มีเทพเจ้านับพัน แต่มีนิกายใหญ่ที่สุดอยู่ 2 นิกายหลักๆ

คือนิกายที่นับถือ จอมเทพโอสิริส (Osiris) เป็นเทพสูงสุด และนิกายที่นับถือ สุริยเทพรา (Ra) เป็นเทพสูงสุด

ซึ่งองค์คุรุเทพของทั้งสองนิกาย ได้รับการนับถือบูชาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่สมัยอียิปต์โบราณ สมัยกรีก-โรมัน มาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้

จอมเทพโอสิริส ทรงมีพระนามในภาษาอียิปต์ว่า อูสิเร (Usire) หรือ เวซีร์ (Wesir) ทรงมีทิพยฐานะ เป็นพระเป็นเจ้าสูงสุดตามคติโอสิเรียน ซึ่งเป็นนิกายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในทางเทววิทยาไอยคุปต์  

ประติมานวิทยาของพระองค์ เป็นรูปมนุษย์ที่ห่อหุ้มด้วยผ้าขาวเหมือนมัมมี่ ทรงถือธารพระกรปลายงอ และแส้อันเป็นเครื่องประกอบพระยศของฟาโรห์ 




พระฉวีของพระองค์เป็นสีเขียว หมายถึงสัญลักษณ์ของการเจริญเติบโต หรือการเกิดใหม่ แสดงถึงการที่ทรงเกี่ยวข้องกับพืชพันธุ์ธัญญาหารต่างๆ  

ตามเทวปกรณ์ที่รู้จักกันทั่วไป พระองค์ทรงเป็นฟาโรห์ หรือเทวกษัตริย์องค์ที่ 2 ที่ปกครองดินแดนอียิปต์ต่อจากสุริยเทพรา 

โดยพระมารดาของพระองค์ คือ เทวีนุท (Nut) ทรงเป็นชายาของสุริยเทพราอยู่เป็นเวลานานนับสิบๆ ปี แต่ก็ไม่สามารถมีพระโอรสธิดาถวาย

ด้วยความขัดเคือง องค์สุริยเทพจึงสาปพระนาง ให้พระนางไม่สามารถให้กำเนิดเทพเจ้าองค์ใดได้ไม่ว่าในวันและปีใด 

มหาเทพธอธ (Thoth) จึงได้ทรงช่วยเหลือ โดยเสด็จไปเล่นหมากรุกกับ จันทรเทพคอนซู (Khonsu) ทำให้จันทรเทพต้องถูกหน่วงเหนี่ยวให้ส่องแสงอยู่นาน จนกลายเป็นวันพิเศษเพิ่มขึ้นอีก 5 วัน ในช่วงรอยต่อระหว่างปีเก่าและปีใหม่ของปฏิทินอียิปต์





และในช่วงวันพิเศษนี้ เทวีนุทได้ให้กำเนิดพระโอรสธิดาวันละองค์ คือ จอมเทพโอสิริสเทพฮาร์มาคิส (Harmachis) เทพเซธ (Seth) พระเทวีไอซิส (Isis) และ เทวีเนฟธีส (Nephthys)

จอมเทพโอสิริสทรงได้รับการถวายความรู้ด้านศิลปวิทยาการ รวมทั้งมายาศาสตร์แขนงต่างๆ จากมหาเทพธอธ 

เมื่อเจริญพระชันษา พระองค์ได้เสกสมรสกับพระเทวีไอซิส จึงเป็นประเพณีที่ฟาโรห์ไอยคุปต์ จะต้องเสกสมรสกับพระภคินีของพระองค์เอง   

ขณะนั้น สุริยเทพราทรงครองบัลลังก์ไอยคุปต์อยู่ในฐานะเทวกษัตริย์ หรือฟาโรห์พระองค์แรก ณ เวลาดังกล่าว ชนเผ่าต่างๆ สองฝั่งลุ่มแม่น้ำไนล์ยังคงเป็นคนป่าเถื่อน และสุริยเทพก็ทรงชราภาพลงทุกที 

เมื่อความวุ่นวายเริ่มเกิดขึ้นในหมู่มนุษย์ และพระเทวีไอซิสไม่ทรงเห็นความพยายามใดๆ ของเหล่าเทวะที่จะช่วยคนพวกนี้ให้พ้นจากความป่าเถื่อน จึงเนรมิตงูเห่าตัวแรกขึ้นในแผ่นดินอียิปต์ 

มันได้ฉกกัดสุริยเทพรา และทำให้พระองค์ได้รับความเจ็บปวดแทบสิ้นพระชนม์

ไม่มีหนทางรักษาอย่างอื่น องค์สุริยเทพต้องทรงบอกพระนามลับของพระองค์ แก่พระเทวีไอซิส เพื่อให้พระนางทรงใช้เวทมนต์ช่วยเหลือพระองค์ได้ 

หลังจากนั้น จอมเทพโอสิริสจึงได้รับพระราชทานบัลลังก์จากสุริยเทพรา ให้ปกครองมนุษยโลกต่อไป

จอมเทพโอสิริสทรงปกครองมนุษย์โลกด้วยพระเมตตาธรรม ทรงเป็นตัวอย่างของผู้กระทำตนดีที่สุด ทรงสั่งสอนจริยธรรม และศิลปวิทยาการต่างๆ ให้บรรพชนในแถบลุ่มน้ำไนล์พ้นจากความป่าเถื่อน กลายเป็นชนชาติที่มีอารยธรรม 




พระองค์ทรงมีวิธีการสอน การโน้มน้าวใจ และการปกครองที่นิ่มนวล ทรงรับฟังแม้ความคิดเห็นที่โง่เขลาที่สุด และทรงทำลายความหลงผิดทั้งหลาย ด้วยปรีชาญาณ 

อีกทั้งพระองค์ยังทรงมุ่งมั่น ที่จะช่วยเหลือทุกคนโดยไม่เหน็ดเหนื่อย ทรงเชื่อมั่นในความดีของพระองค์เอง และทรงเป็นที่เคารพรักแก่คนทั่วไปด้วยบุญญานุภาพนั้น      

ดังนั้น พระองค์สามารถยกเลิกสงครามระหว่างชนเผ่า และประเพณีอันชั่วร้ายทั้งหลาย เช่นการบูชายัญด้วยมนุษย์ หรือการกินเนื้อมนุษย์ด้วยกัน

โดยทรงร่างกฎหมาย ตลอดจนระเบียบทางสังคม ให้ทุกคนอยู่ร่วมกันโดยความสงบสุข รวมทั้งทรงสั่งสอนให้รู้จักพิธีกรรมในการบูชาเทพเจ้าที่ถูกต้อง

ซึ่งด้วยพระบารมี และคุณลักษณะอันเป็นที่เคารพรักดังกล่าวแล้ว ประชาชนทั้งหลายก็ยินยอม โดยพระองค์ไม่จำเป็นต้องบังคับด้วยพระเดชานุภาพเลยครับ          

และพระองค์ยังประทานความรู้ในการเกษตร การชลประทาน การทำขนมปังจากการโม่แป้งสาลี และวิธีการทำไวน์จากองุ่นอีกด้วย            

เมื่อโครงการของพระองค์สำเร็จด้วยดีดังนี้ พระองค์ได้เสด็จออกจากอียิปต์ไปชั่วคราว พร้อมกับมหาเทพธอธ และนักปราชญ์ทั้งหลาย เพื่อตระเวนสั่งสอนผู้คนในดินแดนอื่น ให้มีอารยธรรมดุจเดียวกัน 

ในช่วงที่พระองค์ไม่อยู่ เทพเซธได้พยายามช่วงชิงอำนาจจากพระเทวีไอซิส ซึ่งทรงเป็นผู้สำเร็จราชการ แต่ก็พ่ายแพ้แก่พระเทวีมาตลอด 

เมื่อองค์จอมเทพเสด็จนิวัติพระนคร เทพเซธจึงแสร้งกลับใจและจัดงานเลี้ยงถวาย จนสามารถหลอกม้พระองค์ลงไปประทับนอนในหีบไม้ ซึ่งเทพเซธสั่งให้ปิดฝาตรึงไว้แน่น และนำไปโยนทิ้งไว้ในแม่น้ำไนล์ ยังผลให้องค์จอมเทพสิ้นพระชนม์




หีบไม้นั้นได้ลอยไปถึงเกาะไบบลอส และถูกต้นแทมมาริสค์ห่อหุ้มไว้ ต่อมาก็ถูกนำไปจำหลักทำเสาประดับพระราชวัง ของพระราชาแห่งไบบลอส โดยไม่มีใครล่วงรู้เลยว่ามีอะไรอยู่ในนั้o

ในไม่ช้า พระเทวีไอซิสก็ทรงติดตามไปพบ และทรงนำพระศพพระสวามีออกจากต้นแทมมาริสค์นั้นจนได้ในที่สุด

พระศพของจอมเทพโอสิริส ได้ถูกนำไปรักษาไว้ ณ เกาะเชมมิส เพื่อรอการปลุกให้ฟื้นคืนชีพด้วยอำนาจมนต์ของพระเทวีไอซิส      

แต่ในไม่ช้า เทพเซธก็ค้นพบที่ซ่อนดังกล่าว และบั่นพระศพออกเป็นจำนวน 14 ชิ้น  นำไปโปรยไว้ตลอดลำน้ำไนล์ 

พระเทวีไอซิสต้องทรงใช้เวลาเป็นแรมปี เสด็จรวบรวมชิ้นส่วนพระศพมาประกอบเข้าด้วยกันอีกครั้งจนสมบูรณ์  แล้วทรงใช้เวทมนต์ประจุพลังชีวิตอมตะแด่พระสวามี 

แต่ในเวลานั้น พระวิญญาณของจอมเทพโอสิริสได้เข้าเขตปรโลกแล้ว พระองค์จึงได้กลายเป็นพระเป็นเจ้าสูงสุดแห่งสัมปรายภพ 

พระองค์จะประทับอยู่บนบัลลังก์ในหอพิพากษา (Hall of Judgement) ที่ซึ่งวิญญาณทุกดวง จะต้องเข้ารับการพิพากษาว่าจะลงนรก หรือได้ไปสวรรค์ เพื่อรอเวลาที่จะกลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง ภายหลังวันสิ้นโลก

ในทางเทววิทยาอียิปต์ จอมเทพโอสิริสทรงเกี่ยวพันกับ หมู่ดาวโอไรออน (Orion)  ซึ่งมีแสงสว่างสุกใสชัดเจนที่สุดบนท้องฟ้ายามค่ำคืน และมีวิถีโคจรอันเนิ่นนาน

คุรุเทพอีกองค์หนึ่งในนิกายโอสิเรียน ก็คือ พระเทวีไอซิส พระชายาของจอมเทพโอสิริสนั่นเองครับ




พระนามในภาษาอียิปต์โบราณของพระนางคือ อะเซ็ต (Aset) หรือ เอเซ็ต (Eset)

ส่วนพระนาม ไอซิส ที่ใช้กันทั่วไปในปัจจุบันนี้ เป็นการออกเสียงแบบอังกฤษ จากภาษากรีกว่า อีซิส (Ίσις)

พระนางทรงเป็นกำลังสำคัญของพระสวามี ในการสร้างสรรค์อารยธรรมต่างๆ เช่นทรงสั่งสอนให้ผู้หญิงรู้จักการทอผ้า การกสิกรรม สอนผู้ชายให้รู้จักการแกะสลัก

เมื่อพระสวามีเดินทางไปเผยแพร่ศิลปวิทยาการที่อื่น พระนางก็ทรงปกครองแผ่นดินแทนด้วยความยุติธรรม และทรงทำให้อียิปต์เจริญงอกงามขึ้นไปอีก

เมื่อพระสวามีเสด็จกลับมา และถูกปลงพระชนม์ พระนางก็ทรงช่วยให้พระสวามีฟื้นคืนชีพ ดังมีภาพของพระนางในลักษณะที่กำลังพายเรือ ติดตามรวบรวมชิ้นส่วนพระศพพระสวามี ตามแม่น้ำไนล์ไปจนถึงไบบลอส (Byblos)

พระนางทรงเป็นหัวใจสำคัญของเทวปกรณ์โอสิเรียน คุณลักษณ์แห่งความซื่อสัตย์จงรักภักดีของพระนาง ที่ทรงถวายแด่พระสวามีนั้น เป็นแบบอย่างแห่งการรับใช้ และการอุทิศทางจิตวิญญาณอย่างแท้จริงครับ

ดังนั้นจึงถือกันว่า ทรง้ป็นผู้คุ้มครองราชบัลลังก์ของกษัตริย์อียิปต์ทุกองค์

พระนางทรงได้รับการบรรยายในจารึกว่า ทรงเป็นผู้หญิงที่ฉลาด ทรงมีปรีชาญาณยิ่งกว่าเทวะนับพัน ทรงรู้แจ้งถึงทุกสิ่งในท้องฟ้าและโลก

ทรงมีวาจาสิทธิ์ ทรงได้รับพลังอำนาจสูงสุด ยิ่งกว่าเทพเจ้าองค์ใด จากการล่วงรู้พระนามลับขององค์สุริยเทพ ด้วยเหตุนั้น พระนางจึงทรงเป็นเจ้าของเวทมนต์ต่างๆ ซึ่งชาวอียิปต์โบราณเรียกว่า ถ้อยคำแห่งอำนาจ (Hecau) ทั้งปวง





ความเป็นคุรุเทพของพระนาง จึงเกี่ยวข้องกับในด้านของมายาศาสตร์ และการใช้เวทมนต์ ซึ่งเป็นศาสตร์ที่สำคัญที่สุดของศาสนาอียิปต์โบราณครับ

คติการนับถือพระเทวีไอซิส ไม่เคยเสื่อมเลยในอียิปต์ แม้ว่าอียิปต์จะตกเป็นของกรีก ชาวกรีกก็กลับรับเอาคติการนับถือพระนาง ไปสถาปนาเป็นลัทธิอันลี้ลับในดินแดนกรีกด้วยซ้ำไป แม้แต่พระนางคลีโอพัตรา ราชินีองค์สุดท้ายของอียิปต์ ก็นับถือพระนางมาก

หลังรัชสมัยของพระนางคลีโอพัตรา ลัทธิที่นับถือพระเทวีไอซิส กลับยิ่งรุ่งเรืองในกรีก และต่อเนื่องไปถึงสมัยโรมัน จนกลายเป็นไม้เบื่อไม้เมากับศาสนาคริสต์ ที่กำลังก่อร่างสร้างตัวขึ้น

เมื่อศาสนาคริสต์กลายเป็นศาสนาหลักของโรมัน ลัทธิของพระนางในโรมันและในอียิปต์ จึงถูกกวาดล้างจนแทบจะสิ้นซาก

แต่ในทางกลับกัน ลัทธิของพระนางกลับกลายเป็นแรงบันดาลใจ และส่งอิทธิพลอย่างเห็นได้ชัด ให้แก่คติการนับถือพระแม่มารีในศาสนาคริสต์ ทั้งในด้านพิธีกรรม และศิลปะ

เนื่องจากได้พบหลักฐานการดัดแปลงเทวสถานของพระนางหลายแห่ง ให้กลายเป็นโบสถ์ของพระแม่มารี รวมทั้งการดัดแปลงเทวรูปของพระนาง ให้เป็นพระรูปของพระแม่มารีในยุคแรกๆ ด้วยครับ




รูปวาดพระแม่มารีในศิลปะเรอเนสซองส์ ประเภทที่เรียกกันว่า Madonna & Child ก็ได้รับแรงบันดาลใจจากรูปพระเทวีไอซิส ขณะให้พระโอรสเสวยพระกษิรธารานั่นเอง

ปัจจุบันนี้ ลัทธิบูชาพระนางถูกรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่ และกลายเป็นลัทธิที่ได้รับความนิยมสูงสุดตลอดกาลลัทธิหนึ่งในกลุ่ม Pagan

นอกจากนั้น ยังเข้าไปผสมผสานกับมายาศาสตร์ตะวันตกอีกมากมายหลายสาขา และมีผู้นับถือพระนางกระจัดกระจายไปทั่วโลกนับล้านคน

กาลเวลานับพันๆ ปีที่ผ่านมา ได้พิสูจน์แล้วถึงความจริงที่ว่า เทวานุภาพแห่งพระเทวีไอซิส ย่อมอยู่เหนืออุปสรรคและความขัดข้องทั้งหลาย สามารถขจัดอาถรรพณ์ มลทิน รวมทั้งอิทธิพลจากสิ่งชั่วร้ายใดๆ ก็ตามที่แฝงเร้นเข้ามาในหนทางแห่งชีวิตของเราได้

ด้วยพลังอำนาจ และปรีชาญาณที่พระนางมอบให้ ผู้ศรัทธาย่อมหลุดพ้นจากโชคชะตาอันเลวร้ายทุกประการ

และคุรุเทพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอีกองค์หนึ่ง ในเทววิทยาไอยคุปต์ ก็คือ มหาเทพธอธ




พระนามของเทพองค์นี้ ในภาษาอียิปต์โบราณของพระองค์คือ เจฮูติ (Djehuti)

พระองค์ทรงมีความชำนาญในการคำนวณแห่งท้องฟ้า ทรงนับดวงดาวทั้งหลายและทรงวัดโลก ทรงเข้าถึงความลับทั้งหมด

พระองค์ยังทรงมีเทวานุภาพ ในการเคลื่อนย้ายวัตถุ ด้วยพลังอำนาจแห่งพระสุรเสียง ทรงคิดค้นวิชาคณิตศาสตร์ และวิศวกรรม ทรงคิดค้นตัวอักษรภาพ ศิลปะในการอ่านและเขียน ตลอดจนวิชาเรขาคณิต การรังวัดที่ดิน เวชกรรมและพฤกษศาสตร์ อักษรไฮโรกลิฟส์ (Hieroglyphs) ก็เกิดมาจากพระองค์ 

มหาเทพธอธปรากฏพระองค์ในสมัยแรกๆ ณ ดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนล์ ดังนั้นจึงทรงมีความสัมพันธ์กับเทพเจ้าและเทวีต่างๆ เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สุริยเทพรา และจอมเทพโอสิริส

โดยในนิกายที่นับถือสุริยเทพราเป็นใหญ่ กล่าวว่ามหาเทพธอธทรงเป็นพระหฤทัย และที่ปรึกษาขององค์สุริยเทพในการปกครอง ตลอดจนการแก้ไขความยุ่งยากต่างๆ รวมทั้งเป็นหนึ่งในผู้พิทักษ์ เรือสุริยะ ด้วย
         
ในขณะที่นิกายโอสิเรียนนั้นกล่าวว่า แม้แต่จันทรเทพคอนซู ซึ่งทรงเป็นเทพแห่งการพนัน ก็ยังไม่อาจเอาชนะเทพแห่งสติปัญญาเช่นมหาเทพธอธได้ แถมยังทรงถูกหลอกให้ส่องแสงอยู่นานเป็นพิเศษถึง 5 วัน ซึ่งทำให้ชายาขององค์สุริยเทพรา ทรงให้กำเนิดเเทพสำคัญ 5 องค์ ในนิกายโอสิเรียนดังกล่าว

เมื่อจอมเทพโอสิริสได้ครองราชย์ และทรงประทานอารยธรรมแก่มวลมนุษย์ มหาเทพธอธก็ทรงเป็นกำลังสำคัญ ในการสอนบรรพชนไอยคุปต์ให้รู้จักเรขาคณิต และการรังวัดที่ดิน เวชกรรม และพฤกษศาสตร์

ทรงประทานความรู้ในด้านดาราศาสตร์ และจักรวาลวิทยา จนทำให้ชาวอียิปต์มีปฏิทินที่ยอดเยี่ยมที่สุดเป็นครั้งแรกในโลกโบราณ

และไม่เพียงแต่ในทางศิลปวิทยาการทุกแขนงเท่านั้นนะครับ มหาเทพธอธยังทรงเป็นเทวบรมครูแห่งวิชามายาศาสตร์อีกด้วย

เวทมนต์ที่พระองค์ประทานแด่พระเทวีไอซิส ทำให้จอมเทพโอสิริสได้ทรงเป็นฟาโรห์ ทำให้พระเทวีไอซิสสามารถรักษาพระศพของจอมเทพโอสิริส และประกอบพระศพของพระสวามี ภายหลังถูกเทพเซธทำลาย  

และหลังจากองค์ ยุวเทพโฮรุส (Horus) ถูกเทพเซธปลงพระชนม์ ก็ด้วยเวทมนต์ของมหาเทพธอธอีกละครับ ที่ดับแสงอาทิตย์ไว้ชั่วคราว จนกระทั่งพระเทวีไอซิสทรงชุบชีวิตยุวเทพโฮรุสได้สำเร็จ   




ประติมานวิทยาของมหาเทพธอธมี 2 อย่าง ที่นิยมกันทั่วไป คือมีพระเศียรเป็นนกช้อนหอย (Ibis) อีกอย่างหนึ่งคือลิงบาบูน

ในประติมานวิทยาที่มีพระเศียรเป็นนกช้อนหอย มักทรงศิราภรณ์รูปพระจันทร์เสี้ยวหรือจานสุริยะ มักปรากฏพระองค์ ในท่าที่กำลังจารอักษรไฮโรกลิฟส์บนแท่งไม้หรือแท่งหิน

ในภาคที่ทรงเกี่ยวข้องกับผู้วายชนม์ พระองค์สวมศิราภรณ์รูปจานสุริยะล้อมรอบด้วย ยูรีอุส (Uraeus) กล่าวกันว่า พระองค์จะทอแสงสีเงินยวง เพื่อนำดวงวิญญาณของผู้ตายข้ามขอบฟ้ายามรัตติกาล จึงทรงมีความสัมพันธ์กับดวงจันทร์ด้วย     

ในหอแห่งการพิพากษาของจอมเทพโอสิริส มหาเทพธอธจะประทับอยู่ร่วมเป็นองค์พยาน ในการชั่งน้ำหนักหัวใจผู้ตายเทียบกับขนนก ซึ่งเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุดที่จะตัดสินว่า ผู้ตายจะได้ไปสวรรค์หรือจะต้องรับการลงทัณฑ์ในนรกภูมิ พระองค์จะเป็นผู้คอยจดบันทึกการชั่งน้ำหนักนั้น





ศูนย์กลางของลัทธิบูชามหาเทพธอธ อยู่ที่เมือง คเนมู (Khnemu) หรือ เฮอร์โมโพลิส (Hermopolis) ในเขตอียิปต์กลาง ที่นี่ได้มีการค้นพบอุโมงค์ใต้ดินขนาดใหญ่ ซึ่งเก็บรักษามัมมี่ของนกช้อนหอย และลิงบาบูนไว้หลายพันตัว  ถือเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์        

และกล่าวกันว่า คำสั่งสอนของพระองค์นั้นมีอยู่ในคัมภีร์ 42 เล่ม ซึ่งได้รับการรักษาสืบทอดกันมาจนทุกวันนี้อย่างเป็นความลับที่สุด


……………………………

หมายเหตุ : เนื้อหาในบทความนี้ มีลิขสิทธิ์ ใครจะนำไปใช้อ้างอิงที่ใด ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมด จะต้องระบุ URL ของแต่ละบทความด้วย และห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าโดยเด็ดขาด

2 ความคิดเห็น:

  1. ชอบพระเทวีไอซิส และมหาเทพธอธค่ะ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ทรงเป็นเทพยอดนิยมในวงการ egyptomania ปัจจุบันทั้งสององค์ครับ

      ความจริง ถ้าเปรียบเทียบกับเทววิทยาของชนชาติต่างๆ ทั่วโลก จะเห็นว่า ยากยิ่งนัก ที่เทพแห่งสติปัญญาระได้รับความนิยมในลำดับต้นๆ เหมือนเทววิทยาอียิปต์

      ลบ

มงคลและอัปมงคล

  * วัตถุมงคลในบทความนี้ ไม่มีให้เช่าบูชา * ผมเคยอ่านโพสต์ใน facebook ของซินแสฮวงจุ้ยท่านหนึ่ง ท่านแนะนำว่า รูปภาพและสิ่งของที่ทำเลียนแบบโ...