วันอาทิตย์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

ปกรณัมแห่งไอซิส ตอนที่ 3




ข้างพระเทวีไอซิส ที่คอยฟังข่าวด้วยความร้อนพระทัย ก็พบว่าพระสวามีของพระนางถูกสังหารเสียแล้ว

พระนางทรงกรรแสง จนน้ำพระเนตรแทบจะเป็นสายเลือด ทรงมีรับสั่งให้เหล่าทหารออกค้นหาพระศพไปตามลำน้ำไนล์

แต่เพราะกระแสน้ำอันเชี่ยวกราก จึงไม่มีผู้ใดทราบว่าหีบพระศพได้ถูกพัดพาไปไกลถึง นครไบบลอส (Byblos ปัจจุบันอยู่ในเลบานอน) และไปติดอยู่ในดง แทมมาริสค์ (Tamarisk : พืชจำพวกสนชนิดหนึ่ง) ที่ขึ้นเรียงรายอยู่ริมฝั่งจนหนาทึบ

เมื่อไม่มีใครหาพระศพพบ พระเทวีก็เสด็จออกค้นหาด้วยพระองค์เอง ทั้งที่ยังทรงพระครรภ์ ทรงใช้ทั้งเวทมนต์และความรู้ทั้งมวลที่ทรงมีอยู่ แต่ก็ไม่อาจค้นหาร่องรอยของพระศพได้

พระนางได้เสด็จไปตามลำน้ำไนล์ไปไกล จนถึงเกาะ เคมมิส (Chemmis) ซึ่งอยู่ในเขตปากน้ำดินดอนสามเหลี่ยม

ที่นั่น นางพญางูวัดเจ็ท (Uadjet) แห่งอียิปต์ล่าง ได้ถวายการต้อนรับอย่างเต็มที่ แต่องค์เทวีเองก็ไม่ทรงรู้เรื่องเกี่ยวกับพระศพ

พระเทวีไอซิสไม่ทรงเห็นทางเลือกอื่น จึงได้แต่หยุดยั้งการค้นหาพระศพไว้ชั่วคราว และประทับในวังของนางพญางูด้วยความอ่อนล้า

ในที่สุด พระนางก็ทรงมีพระประสูติกาลพระโอรสที่นั่น

พระโอรสองค์นี้ ทรงมีเทวลักษณะเข้มแข็งสง่างามยิ่งนัก ทรงแสดงให้เห็นว่า จักทรงเจริญพระชันษาขึ้นเป็นนักรบที่กล้าหาญและทรงอานุภาพมากที่สุด

พระเทวีไอซิสทรงเศร้าพระทัย ที่พระโอรสประสูติโดยไม่มีพระสวามีของพระนางอยู่เคียงข้าง ทรงกอดยุวกษัตริย์องค์น้อยไว้แนบพระทรวง ตรัสว่า

ลูกชายของฉันเกิดมาโดยไม่มีพ่อ ไม่มีเสียงแซ่ซร้องของพสกนิกรผู้รอคอยการเกิดมาของเขา และเขาเกิดมาพร้อมกับหน้าที่ที่จะต้องแก้แค้นให้บิดาของเขา ฉันจักให้ชื่อเขาว่า โฮรุส (Horus)”

พระเทวีทรงเลี้ยงดูพระโอรสต่อไปในวังของนางพญางูวัดเจ็ท โดยนางพญางูและบริวารต่างช่วยกันถวายอภิบาลอย่างเต็มความสามารถ

โดยไม่มีใครรู้ว่า หีบพระศพซึ่งลอยเข้าไปติดอยู่ในดงแทมมาริสค์ริมฝั่งนครไบบลอสนั้น ในที่สุดก็ถูกห่อหุ้มด้วยกิ่งก้านสาขาของต้นแทมมาริสค์ จนไม่มีผู้ใดเห็นว่ามีอะไรอยู่ภายใน

และบรรดาต้นแทมมาริสค์ที่ห่อหุ้มหีบพระศพไว้อย่างมิดชิดนั้น ก็ถูกมหาดเล็กของ พระเจ้ามัลคันเดอร์ (Malcander) แห่งไบบลอส ตัดไปแกะสลักเป็นประติมากรรมที่งามวิจิตร เพื่อนำไปตั้งประดับไว้ในพระราชวัง โดยแม้แต่ช่างแกะสลักก็ไม่รู้ว่ามีหีบพระศพทั้งใบซ่อนอยู่ในนั้น

ในที่สุด พระเทวีไอซิสก็ไม่ทรงมีความหวังที่จะรอต่อไป พระนางจำต้องฝากยุวเทพโฮรุสไว้ภายใต้การดูแลของนางพญางูวัดเจ็ท และเดินทางติดตามหาพระศพไกลออกไปเรื่อยๆ

เวลายิ่งล่วงเลยไป พระนางก็ยิ่งพบกับความล้มเหลว จนแทบจะหมดกำลังที่จะตามหาต่อไปอีก




ทั้งนี้ เพราะแม้แต่เวทมนต์ที่ทรงมีอยู่ ก็ไม่อาจใช้ค้นหาพระสวามีได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้องค์เทวีทรงพิศวงยิ่งนัก

ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า ต้นแทมมาริสค์นั้นเป็นพืชวิเศษชนิดหนึ่ง ที่มีอำนาจอยู่ในตัวของมันเอง ไม่มีพระเวทหรืออาคมใดๆ ที่จะแทรกผ่านอณูของมันเข้าไปได้เลยครับ

จนกระทั่งคืนหนึ่ง พระนางก็ทรงพระสุบินนิมิต

ในพระสุบินนั้น พระนางเสด็จพระดำเนินอยู่ริมฝั่งแม่น้ำไนล์ ใกล้ฝั่งเมืองทานิส ทรงพบเด็กกลุ่มหนึ่งกำลังชี้ชวนกันดูบางสิ่งบางอย่างที่ลอยอยู่ในน้ำ เมื่อพระนางเสด็จเข้าไปถามว่ากำลังดูอะไรกัน เด็กคนหนึ่งก็ร้องบอก

นั่นไงพระแม่เจ้า มีหีบไม้ใบใหญ่ทีเดียว กำลังลอยอยู่ในน้ำนั่นไง

พระเทวีทอดพระเนตรเห็นหีบไม้นั้น พลันพระวรกายก็ชาไปหมด ทรงทราบด้วยญาณวิเศษของพระนางทันทีว่านั่นคือหีบพระศพที่พระนางทรงตามหามาตลอด

พระนางทรงอุทานด้วยความดีพระทัย ทรงวิ่งตามหีบพระศพนั้นไปตามริมฝั่งน้ำ จนเห็นดงแทมมาริสค์ขนาดใหญ่ และพระราชวังแห่งไบบลอส 

มหาเทพนารีผู้เลอโฉมตื่นขึ้นมาด้วยความดีพระทัยเป็นล้นพ้น 

ถึงอำนาจเฉพาะตัวของต้นแทมมาริสค์ จะสกัดกั้นทิพย์ญาณของพระนางได้ แต่ก็ไม่สามารถขวางกั้นพลังแห่งความซื่อสัตย์ จงรักภักดี ที่พระนางทรงมีต่อพระสวามีได้

พระหฤทัยแห่งพระนางบัดนี้ แทบจะลอยไปถึงพระราชวังของกษัตริย์มัลคันเดอร์

ในเบื้องแรก พระนางทรงพระดำริจะเสด็จเข้าสู่พระราชวังแห่งนั้น ในฐานะขององค์สุริยรานีแห่งแดนไอยคุปต์ ซึ่งแม้ไบบลอสจะมิได้อยู่ในขอบขัณฑสีมา ทั้งกษัตริย์และราชินีก็จะต้องยินดีต้อนรับ และกระทำทุกอย่างที่ทรงต้องการอย่างแน่นอน


โบราณสถานของนครไบบลอส ปัจจุบันอยู่ในเลบานอน

แต่เมื่อทรงไตร่ตรองแล้ว ก็ทรงเห็นว่าไม่เป็นการเหมาะสม

อีกทั้งหากทรงแฝงกายเข้าไปโดยวิธีอื่น พระนางอาจทรงกระทำสิ่งมหัศจรรย์ ให้ราชสำนักแห่งไบบลอสได้ประจักษ์ในเทวานุภาพ

ซึ่งจะทำให้พระนาง และพระสวามีทรงมีชื่อเสียงเกียรติยศยั่งยืนยิ่งกว่า

พระนางจึงทรงจำแลงพระกายเป็นหญิงชราคนหนึ่ง แล้วไปพำนักอยู่ริมแม่น้ำบริเวณที่เหล่านางกำนัลของ พระราชินีอัสตาร์เต (Astarte) มเหสีของพระเจ้ามัลคันเดอร์มาอาบน้ำกันเป็นประจำ

พอถึงเวลาที่เหล่านางกำนัลพากันมาอาบน้ำตามปกติ ก็ได้พบกับหญิงชรา และได้พูดคุยกันอย่างถูกคอ

ไม่เพียงเท่านั้น หญิงชรายังได้สอนวิธีการดัดผม การแต่งผมด้วยการประดับดอกไม้ให้ ซึ่งเป็นเรื่องใหม่ที่บรรดาสาวๆ ชาวไบบลอสไม่เคยเรียนรู้มาก่อน

เมื่อเหล่านางกำนัลที่ตกแต่งทรงผมของตนอย่างสวยงาม พากันกลับพระราชวัง พวกหล่อนสะดุดตาทุกคน รวมทั้งพระราชินีอัสตาร์เต

พระนางรับสั่งถามถึงต้นสายปลายเหตุ นางกำนัลก็ทูลตอบไปตามความเป็นจริง

ใครที่รู้วิธีแต่งผมให้งามแปลกตาได้ถึงเพียงนี้ ต้องเป็นสตรีสูงศักดิ์มาจากนครที่เจริญรุ่งเรืองแห่งใดแห่งหนึ่งเป็นแน่ พระนางรำพึง

พวกเธอรีบกลับไปตามนางมาหาเราเร็วเข้า

เมื่อพวกนางกำนัลไปตามหญิงชราปลอมมาเข้าเฝ้า พระราชินีก็ทรงให้การต้อนรับอย่างดี 

ทรงมีรับสั่งให้หญิงชราพำนักอยู่ในพระราชวัง และยังทรงขอร้องให้ช่วยถวายการอภิบาล เจ้าชายดิคติส (Diktys) ซึ่งกำลังประชวรหนัก จวนเจียนจะสิ้นพระชนม์อยู่ในขณะนั้นอีกด้วย

ทั้งนี้ เพราะพระนางอัสตาร์เตทรงแน่พระทัยว่า หญิงชราผู้ลี้ลับนี้จะต้องมีความรู้พิเศษอีกมากมายหลายอย่าง และนั่นอาจช่วยพระโอรสของพระนางได้

และพระราชินีก็ไม่ผิดหวัง ด้วยการถวายอภิบาลของหญิงชราปลอม เจ้าชายค่อยๆ บรรเทาอาการประชวร พระพลานามัยแข็งแรงขึ้นดีวันดีคืน ทั้งที่บรรดาแพทย์หลวงต่างหมดหนทางไปก่อนหน้านี้แล้ว

แต่ในท่ามกลางความยินดีของพระราชวงศ์และประชาชนทั้งหมด พระราชินีก็ทรงทราบถึงพฤติกรรมที่ผิดปกติของหญิงชรา จากนางกำนัลด้วย

นางมักจะแอบเข้าไปในห้องที่ตั้งเสาแทมมาริสค์ต้นใหญ่นั้น ปิดประตูขังตัวเอง ไม่มีใครรู้ว่านางเข้าไปทำอะไร แต่คนที่แอบฟังได้ยินเสียงเหมือนนางกำลังก่อกองไฟ เสียงเหมือนนางกลืนอาหารบางอย่าง และนางก็ส่งเสียงหัวเราะ

คืนวันหนึ่ง พระราชินีจึงเข้าไปแอบซ่อนอยู่ในห้องนั้น และแล้วพระนางก็ได้เห็นพฤติกรรมอันน่าขนพองสยองเกล้าที่สุด

นั่นคือ หญิงชราได้ก่อกองไฟขึ้นจริงๆ ก่อนจะอุ้มร่างของเจ้าชายไปวางไว้บนกองฟืนที่กำลังลุกโชติช่วง จากนั้นก็ร่ายรำไปรอบๆ เสาแทมมาริสค์ พร้อมทั้งส่งเสียงคร่ำครวญด้วยความโศกเศร้า

พระราชินีไม่อาจทนทอดพระเนตรได้อีกต่อไป พระนางกรีดร้อง พลางถลันเข้าไปอุ้มพระโอรสออกจากกองไฟ

แต่พอพระนางจะวิ่งออกจากห้องนั้น พระนางก็ก้าวพระบาทไม่ได้




ขณะนั้นเอง หญิงชราหลังค่อมก็กลับยืดตัวตรงขึ้น ร่างกายของนางค่อยๆ เปล่งแสงสีทองจนสว่างเจิดจ้า ภาพของหญิงชราหายไป กลายเป็นพระวรกายอันงดงามและเครื่องพัสตราภรณ์อันวิจิตรตระการตา

พระเทวีไอซิสตรัสว่า

ราชินีโง่ หากเธอปล่อยให้เราเผาลูกของเธอแล้ว เขาจะหายจากความเจ็บไข้อย่างสมบูรณ์ และกลายเป็นเทพเจ้าองค์หนึ่ง และด้วยความโง่ของเธอครั้งนี้ เขาจะมีชีวิตต่อไปได้อีกไม่กี่วันเท่านั้น

พระเจ้ามัลคันเดอร์ และเหล่าทหารรักษาพระองค์เข้ามาทันได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด พระองค์ทรงคิดได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น รีบสั่งให้เหล่าทหารคุกเข่าลงถวายบังคม

พระองค์เองก็รีบพาพระราชินีคุกเข่าลงด้วยกัน ทูลขอให้พระเทวีประทานพรพระโอรสให้มีพระชนม์ยั่งยืนต่อไป โดยยินยอมถวายสมบัติทั้งหมดในนครไบบลอสเป็นการตอบแทน

เราไม่ต้องการสมบัติของพวกท่าน พระเทวีรับสั่ง

เราต้องการแต่สิ่งที่อยู่ภายในเสาแทมมาริสค์ต้นนี้เท่านั้น หากท่านยกให้เรา ลูกชายของท่านก็จักได้รับพรของเรา

ทั้งกษัตริย์และราชินีทั้งพิศวงและยินดี รีบบัญชาทหารให้ไปตามช่างไม้มา เมื่อบรรดาช่างไม้มาถึงและตัดเสาต้นนั้นออกก็พบว่า มีหีบพระศพอันสวยงามอยู่ในนั้นจริงๆ




พระเทวีไอซิสทรงประพรมเครื่องหอมทั่วเสาต้นนั้น และรับสั่งต่อไป

ด้วยวาจาสิิทธิ์ของเรา ไอซิส, ลูกชายของท่านจักเติบโตขึ้น เป็นกษัตริย์ผู้ทรงอานุภาพปกครองดินแดนแถบนี้ให้เจริญมั่นคงไปตลอดอายุขัย

ส่วนเสาต้นนี้ ท่านทั้งสองจงนำไปรักษาไว้ในเทวสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด นับแต่นี้ไปอีกหลายร้อยปี บรรดานักบวชจากทั่วโลกจักเดินทางมาแสวงบุญ ณ เทวาลัยดังกล่าว ไบบลอสจักเป็นนครศักดิ์สิทธิ์ และรุ่งเรืองไปชั่วกาลนาน

หลังจากนั้น พระเทวีไอซิสก็ทรงอัญเชิญหีบพระศพลงเรือที่ราชสำนักไบบลอสจัดถวายเป็นพิเศษ เดินทางกลับสู่แดนไอยคุปต์



……………………………


หมายเหตุ : เนื้อหาในบทความนี้ มีลิขสิทธิ์ ใครจะนำไปใช้อ้างอิงที่ใด ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมด จะต้องระบุ URL ของแต่ละบทความด้วย และห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าโดยเด็ดขาด


วันอังคารที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

ปกรณัมแห่งไอซิส ตอนที่ 2





เมื่อทรงฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง องค์สุริยเทพก็ทรงรับรู้ว่า ไม่มีประโยชน์อันใดที่พระองค์จะทรงปกครองแผ่นดินโลกต่อไปอีก ยุคสมัยของพระองค์ได้จบสิ้นลงแล้ว

จอมเทพผู้ชราจึงประกาศสละเทวบัลลังก์แห่งโลก ประทานจอมเทพโอสิริส

แล้วพระองค์ก็เสด็จกลับสวรรค์ ทรงดำรงตำแหน่งพระเป็นเจ้าสูงสุดปกครองคณะเทพทั้งปวงที่อยู่ในเทวโลก และยังคงเสด็จประทับบนสุริยนาวา โคจรข้ามขอบฟ้าเพื่อตรวจตราสิ่งต่างๆ ในโลกมนุษย์ต่อไป

ขณะที่จอมเทพโอสิริสเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นผู้ครองแผ่นดินโลกลำดับที่สอง โดยมีพระเทวีไอซิสดำรงตำแหน่งพระราชินี

ปวงเทพทั้งหลายในโลกและเหล่ามนุษย์ต่างปลื้มปีติยิ่งนัก เพราะพวกเขาต่างเฝ้ารอเวลานี้มานานแสนนาน จนแทบจะสิ้นหวังอยู่แล้ว

และจอมเทพโอสิริสก็ไม่ทรงทำให้ผู้เคารพรักพระองค์ต้องผิดหวังเลยครับ

พระองค์ทรงสร้างเมืองหลวงใหม่ขึ้น ประทานนามว่า ธีบีส (Thebes : ภาษาอียิปต์โบราณว่า Waset)  ทรงปกครองบ้านเมืองด้วยความเมตตากรุณา และพระปรีชาญาณอันหลักแหลม ทำให้พสกนิกรต่างดำรงชีพด้วยความร่มเย็นเป็นสุข




ยิ่งไปกว่านั้น ยังทรงกระทำผู้คนของพระองค์ให้พ้นจากความป่าเถื่อน กลายเป็นผู้มีอารยธรรม ทรงบัญญัติกฎระเบียบ เพื่อให้ทุกคนอยู่ร่วมกันได้ นับว่าทรงมีคุณูปการต่อมวลมนุษย์มากอย่างไม่มีประมาณ

อีกทั้งยังทรงสั่งสอนให้นักบวช และประชาชนรู้จักการปฏิบัติบูชาเทพเจ้าอย่างถูกต้อง ตลอดจนการสร้างเทวสถานสำหรับเทพเจ้าแต่ละองค์ตามเมืองต่างๆ โดยทรงสร้างมหาเทวาลัยแห่งธีบีสขึ้นเป็นแห่งแรกสุด เพื่อถวายแด่องค์สุริยเทพรา

ภายใต้การสร้างสรรค์ของพระสวามี พระเทวีไอซิสก็ทรงเป็นกำลังสำคัญ ช่วยรับสนองพระกรณียกิจต่างๆ ให้ลุล่วง

พระนางเองทรงสั่งสอนวิชาหัตถกรรมแก่ผู้ชาย ทรงสอนให้พวกผู้หญิงรู้จักทอผ้า ทรงสอนให้ทุกคนรู้จักการเลี้ยงสัตว์ การเพาะปลูก การเก็บเกี่ยวและการทำขนมปังจากข้าวสาลี ข้าวบาเลย์ การเพาะปลูกองุ่นเพื่อนำมาทำเหล้าไวน์ การครองเรือน และการอบรมดูแลบุตรหลานอย่างถูกต้อง

ยิ่งไปกว่านั้น ยังทรงสั่งสอนศิลปวิทยาการทุกแขนง แม้จนการแพทย์ เช่นการใช้ยาสมุนไพรรักษาโรค การปรุงน้ำมันหอม การผ่าตัด รวมไปถึงพยากรณศาสตร์และการสาธารณสุข พระนางจึงทรงเป็นที่เคารพรักของทุกชีวิตในโลกเช่นเดียวกับพระสวามี

ในเวลาเดียวกัน เทพเซธซึ่งได้รับเทวโองการจากองค์สุริยเทพ ให้แยกไปปกครองอาณาจักรทางแถบทะเลทราย ก็กระทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม

บ้านเมืองของพระองค์มีแต่ความกันดารแร้นแค้น เพราะพระองค์ไม่ทรงใส่พระทัยที่จะสั่งสอนให้ผู้คนของพระองค์รู้จักการกสิกรรม ประชาชนในอาณาจักรของพระองค์ ต่างดำรงชีวิตไม่แตกต่างจากชนป่าเถื่อน พวกเขาต้องล่าสัตว์เพื่อยังชีพ และป้องกันตนเองจากภัยธรรมชาติอันทารุณโหดร้ายไปวันๆ




แต่อันตรายที่น่าสะพรึงกลัวที่สุด กลับมาจากเหล่าเทพบริวารและขุนนางของเทพเซธ ที่กดขี่ข่มเหงผู้คนเพื่อแสดงอำนาจบารมีอยู่เนืองๆ แล้วก็พากันรีดนาทาเร้น ฉกฉวยผลผลิตที่หามาด้วยความยากลำบากไปสู่ราชสำนัก เพื่อปรนเปรอเทพเซธให้สุขสบายอยู่เพียงผู้เดียว

ซึ่งถึงแม้ว่า เทวีเนฟธิสผู้เป็นชายาจะทรงพยายามทัดทาน ให้ทรงเห็นแก่ความทุกข์ยากของประชาชนบ้าง ก็ไม่เป็นผล

นานวันเข้า คนส่วนใหญ่ก็อพยพย้ายถิ่นฐานเข้ามาอยู่ในธีบีส จนเหลือแต่คนที่มีจิตใจหยาบกระด้างและก้าวร้าวเท่านั้นละครับ ที่ยังสมัครใจอยู่ในการปกครองของเทพเซธ

ไม่เพียงแต่ประชาชนเท่านั้น แม้แต่องค์เทวีเนฟธิส พระชายาของเทพเซธเองก็ไม่อาจจะทานทนได้ต่อไปเช่นกันครับ

เป็นความจริงที่ว่า พระนางไม่เคยพอพระทัยในการเสกสมรสกับเทพเซธ เพราะว่าทรงหลงรักจอมเทพโอสิริสมาตั้งแต่แรก

เมื่อจำใจต้องแต่งงาน และพบว่าพระสวามีเริ่มมีพฤติกรรมเป็นทรราชย์มากขึ้นทุกที ขณะที่ต้องทรงเฝ้ามองจอมเทพโอสิริสกับพระเชษฐภคินีครองรักกันอย่างแสนสุขด้วยความอิจฉา

พระนางตัดสินพระทัยลอบเข้าไปพบองค์จอมเทพ ในคืนวันหนึ่งที่พระเทวีไอซิสไม่อยู่ และถวายน้ำจัณฑ์แด่พระองค์อย่างมากมาย เพื่อเล้าโลมให้ทรงมีสัมพันธ์ด้วย

ในชั้นแรก จอมเทพโอสิริสไม่ทรงยินยอม แม้จะเสวยน้ำจัณฑ์ไปมากเพียงใดก็ยังทรงปฏิเสธ แต่ไม่มีสิ่งใดขัดขวางความต้องการของเทวีเนฟธิสได้หรอกครับ




พระนางทำทีว่าทรงเปลี่ยนพระทัย และเสด็จกลับอาณาจักรทะเลทราย แต่เมื่อออกจากวังของจอมเทพ พระนางก็แปลงร่างเป็นพระเทวีไอซิส รออยู่สักระยะก่อนจะกลับเข้าไปอีกครั้ง

องค์จอมเทพเข้าพระทัยว่าพระชายาเสด็จกลับมาแล้ว ก็ทรงบรรทมร่วมกับพระนาง

คืนวันนั้น เมื่อพระเทวีไอซิสเสด็จกลับมาจริงๆ และได้ทอดพระเนตรว่าเกิดอะไรขึ้น พระนางทรงพระพิโรธเป็นอย่างมาก

แต่ด้วยน้ำพระทัยเมตตา อันยากจะหาเทพอื่นใดทัดเทียม พระนางมิได้ทรงลงโทษประการใดแก่พระขนิษฐา เพียงแต่ทรงมีรับสั่งว่า

การที่เธอกระทำอย่างนี้ ฉันเข้าใจความรู้สึกของเธอดีทุกอย่าง มันไม่แปลกที่ใครๆ จะเคารพรักองค์จอมเทพเท่ากับฉันหรือยิ่งกว่า และเมื่อคิดถึงความประพฤติของเทพเซธแล้ว เรื่องเช่นนี้ก็เป็นที่เข้าใจได้ง่ายขึ้น

เพราะเหตุนี้ฉันจะไม่เอาผิดเธอ และจะยินยอมให้เธอเป็นภรรยาอีกคนหนึ่งของสามีฉันได้ตามที่เธอต้องการ และหากการกระทำนี้จะเป็นเหตุให้เธอได้รับความเดือดร้อนใดๆ จากสามีของเธอ เธอสามารถแน่ใจได้ว่า ฉันยังเห็นเธอเป็นน้องสาวที่ฉันจะต้องปกป้องคุ้มครองเสมอ

เล่ากันว่า เทวีเนฟธิสถึงกับร่ำไห้ด้วยความตื้นตันใจ และความอิจฉาริษยาที่ทรงมีต่อพระเชษฐภคินีมาตลอดก็สูญสิ้นไปหมด

พระนางเสด็จกลับอาณาจักรทะเลทราย ด้วยความสุขในคืนนั้น และไม่นานก็ทรงตั้งครรภ์พระโอรสองค์แรก โดยต้องทรงอำพรางไว้อย่างสุดความสามารถ มิให้เทพเซธล่วงรู้ได้

เมื่อพระโอรสขององค์เทวีประสูติ ก็ทรงได้พระนามว่า อนูบิส (Anubis) ซึ่งต่อมาพระเทวีไอซิสก็ทรงรับไปเลี้ยงดูในธีบีสเพื่อความปลอดภัย โดยที่เทพเซธไม่ทรงล่วงรู้อะไรทั้งสิ้น

ส่วนเทพอนูบิสก็เจริญพระชันษาขึ้น โดยได้รับการสั่งสอนสรรพวิชาอาคมทั้งหลาย จนเป็นเทพที่ทรงความรู้ด้านเวทมนต์และพิธีกรรมอย่างดีที่สุดอีกองค์หนึ่ง

ด้วยเหตุนี้ ทำให้เทวีเนฟธิสทรงสาบานว่า หากมีสิ่งใดเกิดขึ้นกับครอบครัวของจอมเทพโอสิริสแล้ว พระนางจะทรงอุทิศตัวช่วยเหลือพระเชษฐภคินีอย่างสุดความสามารถ โดยไม่รั้งรอเลยครับ

เมื่อธีบีสเจริญรุ่งเรือง จนมีชื่อเสียงไปทั่วโลก จอมเทพโอสิริสก็ทรงนึกถึงมวลมนุษย์ที่ตั้งหลักแหล่งอยู่ห่างไกลออกไป และยังป่าเถื่อนอยู่

พระองค์จึงทรงสถาปนาพระเทวีไอซิสขึ้นเป็นสุริยรานี ปกครองอียิปต์แทนพระองค์เป็นการชั่วคราว

ส่วนพระองค์เอง พร้อมด้วยคณะเทพผู้ทรงอุปถัมภ์ด้านต่างๆ มีเทพธอธและเทพอนูบิสเป็นต้น อีกทั้งเหล่านักบวช และนักปราชญ์จำนวนหนึ่งก็ออกเดินทางไปทั่วโลก เพื่อสั่งสอนศิลปวิทยาการให้คนเหล่านั้นกลายเป็นผู้มีอารยธรรมต่อไป

ภายใต้การปกครองของพระเทวีไอซิส พสกนิกรยังคงได้รับความผาสุกเช่นเดิมครับ

แต่ในที่สุด เทพเซธผู้ริษยาก็ไม่อาจอดกลั้นได้อีกต่อไป

พระองค์เริ่มสงคราม ด้วยการยกกองทัพเข้าจู่โจมธีบีสเพื่อชิงบัลลังก์ของพระเทวีไอซิส แต่ก็ถูกต่อต้านด้วยเทวานุภาพ จนต้องพ่ายแพ้กลับไปอย่างยับเยิน

แต่เทพเซธไม่เข็ดหลาบ พระองค์นำกองทัพเข้าตีกรุงธีบีสอีกหลายครั้ง แต่ก็ถูกเสนาบดีฝ่ายพระเทวีไอซิสตอบโต้อย่างเฉียบขาด จนต้องพ่ายแพ้ไปทุกครั้งเช่นกัน

องค์เทพเซธเองทรงใช้มนต์ดำ อันมีอานุภาพรุนแรงโหดเหี้ยมที่สุดต่อพระเทวีไอซิส แต่มนต์ดำเหล่านั้นก็ไม่มีผลอะไรเลยกับองค์เทวีแห่งเวทมนต์ชั้นสูงสุด




การที่เทพเซธทรงก่อความวุ่นวายขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า แม้ไม่อาจได้รับชัยชนะ ทำให้เหล่าเสนาบดีทูลถวายคำแนะนำพระเทวีไอซิส ให้ทรงส่งทหารที่ไว้ใจได้ไปถวายรายงานองค์จอมเทพ ถึงเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น

แต่พระเทวีก็ไม่ทรงเห็นด้วย และทรงปกปักรักษานครธีบีสต่อไปด้วยเทวานุภาพแห่งพระนางเอง

ในที่สุด เมื่อถึงฤดูกาลที่แม่น้ำไนล์ท่วมท้นสองฟากฝั่ง กระแสน้ำไหลเชี่ยว จอมเทพโอสิริสก็เสด็จกลับมาถึงท่ามกลางความปีติยินดีของชาวธีบีสทุกคน

เมื่อทรงออกว่าราชการอีกครั้ง บนเทวบัลลังก์แห่งโลก พระเทวีไอซิสและคณะเสนาบดี ได้ทูลรายงานสิ่งที่เทพเซธและบริวารได้ก่อขึ้นทั้งหมด

แต่เมื่อสดับแล้ว จอมเทพกลับทรงมีพระดำรัสว่า

คนเราเมื่อทำความชั่วแล้วไม่เป็นผล ในที่สุดก็จะต้องรู้จักสำนึก

เซธเป็นน้องของฉัน เมื่อฉันไม่อยู่ เขาอาจทำอะไรเกินเลยไปบ้าง แต่ฉันกลับมาดังนี้ เขาคงไม่กล้าทำอะไรอีก

และถ้าฉันให้อภัยแก่เขา เขาก็คงกลับตัวกลับใจได้

จงดูเถิด ไอซิส, ฉันได้เดินทางไปทั่วโลก กระทำคนป่าเถื่อนนับแสนให้เป็นผู้มีอารยธรรม แม้แต่คนที่กินเนื้อคนด้วยกันเอง ฉันก็โน้มน้าวใจให้เขาเลิก โดยไม่เคยต้องใช้กำลังบังคับ

แล้วกับน้องซึ่งหลงผิดไปเช่นนี้ มีหรือที่ฉันจะเอาชนะใจเขาไม่ได้?”

พระเทวีไอซิสและคณะเสนาบดี ไม่รู้จะถวายคำแนะนำสิ่งใดได้ นอกจากทูลขอให้ทรงระวังพระอนุชาไว้บ้าง

แต่จอมเทพก็ยังทรงยืนยันพระดำริเดิม พระเทวีไอซิสได้แต่ทรงเก็บงำความหวั่นพระทัยไว้เงียบๆ

เย็นวันนั้นเอง บริวารของเทพเซธขอเข้าเฝ้า กราบบังคมทูลว่า

"เทพเซธซึ่งได้หลงผิดไปในช่วงเวลาที่ผ่านมา ได้ประจักษ์ในพระบารมีอันศักดิ์สิทธิ์แห่งพระองค์แล้ว และได้เตรียมงานเลี้ยงฉลองอย่างยิ่งใหญ่ ไว้สำหรับต้อนรับการเสด็จกลับมาของพระองค์

ขณะนี้งานดังกล่าวกำลังจะเริ่ม บรรดาขุนนาง คหบดี และผู้มีชื่อเสียงของทางอาณาจักร ตลอดจนเจ้าครองนครที่อยู่ไกลออกไปต่างพากันมาเฝ้ารอชมพระบารมีของพระองค์"

จอมเทพทรงฉลองพระองค์อย่างหรูหรา และเสด็จไปวังของเทพเซธทันที พร้อมกับทหารองครักษ์เพียงไม่กี่นายเท่านั้น

เมื่อไปถึงก็ทรงเห็นว่า งานเลี้ยงฉลองนั้นเป็นงานใหญ่จริงๆ เต็มไปด้วยผู้คนที่ทรงรู้จัก ที่ต่างก็โห่ร้องถวายพระพร และชื่นชมพระบารมีขณะเสด็จเข้าสู่ท้องพระโรง

เทพเซธ และเทพบริวารทั้ง 72 องค์ได้รอถวายการต้อนรับอยู่แล้ว และได้ทูลเชิญให้เสด็จประทับในที่สำหรับผู้มีความสำคัญสูงสุดของงาน

ไม่มีสิ่งใดในสายพระเนตร ที่ทำให้องค์เทวกษัตริย์ทรงสำเหนียกถึงภยันตรายครับ

ตลอดงานเต็มไปด้วยเสียงดนตรี อาหารเลิศรส การละเล่น และการแสดงอันน่าตื่นตา เทพเซธทรงสรรเสริญพระองค์หลายครั้ง และทุกครั้งผู้มาร่วมงานทั้งหมดก็ร่วมถวายพระพร 

จนในที่สุด เมื่อถึงตอนท้ายของงาน เทพเซธก็ประกาศว่า ได้เตรียมของขวัญล้ำค่าไว้ชิ้นหนึ่ง เพื่อมอบแก่แขกที่โชคดีที่สุดในงานเพียงคนเดียวเท่านั้น

เหล่าทหารร่างกำยำพากันแบบหีบไม้ขนาดใหญ่มาใบหนึ่ง เมื่อวางมันลงเบื้องหน้าที่ประทับ องค์จอมเทพโอสิริสก็ทรงพระสรวลด้วยความพอพระทัย

มันเป็นหีบไม้ซีดาร์ขนาดใหญ่พอๆ กับผู้ชายคนหนึ่ง ทั้งใบสลักเสลาอย่างงดงามด้วยฝีมืออันไม่มีที่ติ แม้แต่ส่วนที่เป็นลวดลายต่างๆ ก็ฝังทองคำ ประกอบอัญมณีน้ำงามที่สุด สลับงาช้างอย่างวิจิตรพิสดาร แพรวพราวไปทั่ว

หีบใบนั้นสว่างเรืองรองเป็นจุดเด่นที่สุดในห้องนั้น ทันทีที่ทุกคนได้เห็นมัน ทุกคนตกตะลึงจนไม่มีใครทันสังเกตว่า ประตูทุกบานที่จะเข้าออกท้องพระโรงได้ต่างถูกปิดจนหมดสิ้น

เทพเซธให้บริวารคนหนึ่งเปิดฝามันออก พลางป่าวประกาศต่อไปว่า ใครก็ตามที่สามารถเข้าไปในนอนในหีบได้พอดี ก็จะได้ครอบครองมัน

บรรดาแขกรับเชิญ ที่กะว่าร่างกายของตนมีขนาดพอดีกับภายในหีบ ต่างแย่งกันพยายามลงไปนอน จนเทพเซธต้องให้เหล่าเทพบริวารช่วยควบคุมให้เป็นระเบียบเรียบร้อย

ขณะนั้น จอมเทพโอสิริสก็ทรงพระสรวล และเสวยน้ำจัณฑ์อย่างพอพระทัยมากทีเดียว พระองค์ทรงรักความสนุกสนาน และโปรดที่จะเห็นทุกคนมีความสุข

แต่คนแล้วคนเล่าที่ลงไป ต่างก็ต้องลุกขึ้นมาด้วยความผิดหวัง ท่ามกลางเสียงหัวเราะเซ็งแซ่ ไม่มีใครมีขนาดร่างกายที่พอดีกับหีบใบนั้น

จนในที่สุด เมื่อคนที่คิดว่าเหมาะสมได้ทดสอบจนหมด องค์จอมเทพก็ทรงขอทดลองบ้าง




พระองค์ย่างพระบาทลงไปในหีบ ทรงนั่งลงอย่างขลุกขลักเล็กน้อย และเมื่อพระองค์นอนลงภายในหีบ โดยยกพระกรทั้งสองขึ้นไขว้กันบนพระอุระ ทุกคนก็เห็นชัดว่าทรงประทับในหีบไม้นั้นได้พอดีที่สุด

ยิ่งเมื่อเหล่าเทพบริวารช่วยกันวัดขนาด และพากันลงมติว่าถูกต้อง เสียงถวายพระพรและเสียงปรบมือก็เซ็งแซ่

ทันใดนั้น เหล่าทหารของเทพเซธก็ปิดฝาอันหนักของหีบใบนั้น ดังสนั่นหวั่นไหว มัดซ้ำด้วยเชือกอย่างแน่นหนาและรวดเร็วที่สุด ท่ามกลางเสียงเอะอะ และเสียงกรีดร้องของแขกทุกคน

แต่เทพเซธไม่สนพระทัย

พระองค์สั่งให้ต้อนทุกคนไปรวมกันไว้ที่มุมหนึ่งของท้องพระโรง ขณะที่เหล่าทหารช่วยกันแบกหีบไม้อันเลอค่านั้น ไปโยนลงแม่น้ำไนล์ พร้อมกับศพขององครักษ์ที่ตามเสด็จองค์จอมเทพ

ในไม่ช้า องค์เทวกษัตริย์ก็สิ้นพระชนม์ภายในหีบไม้นั้น



……………………………


หมายเหตุ : เนื้อหาในบทความนี้ มีลิขสิทธิ์ ใครจะนำไปใช้อ้างอิงที่ใด ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมด จะต้องระบุ URL ของแต่ละบทความด้วย และห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าโดยเด็ดขาด

มงคลและอัปมงคล

  * วัตถุมงคลในบทความนี้ ไม่มีให้เช่าบูชา * ผมเคยอ่านโพสต์ใน facebook ของซินแสฮวงจุ้ยท่านหนึ่ง ท่านแนะนำว่า รูปภาพและสิ่งของที่ทำเลียนแบบโ...