เมื่อทรงฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง
องค์สุริยเทพก็ทรงรับรู้ว่า
ไม่มีประโยชน์อันใดที่พระองค์จะทรงปกครองแผ่นดินโลกต่อไปอีก
ยุคสมัยของพระองค์ได้จบสิ้นลงแล้ว
จอมเทพผู้ชราจึงประกาศสละเทวบัลลังก์แห่งโลก
ประทานจอมเทพโอสิริส
แล้วพระองค์ก็เสด็จกลับสวรรค์ ทรงดำรงตำแหน่งพระเป็นเจ้าสูงสุดปกครองคณะเทพทั้งปวงที่อยู่ในเทวโลก และยังคงเสด็จประทับบนสุริยนาวา โคจรข้ามขอบฟ้าเพื่อตรวจตราสิ่งต่างๆ ในโลกมนุษย์ต่อไป
แล้วพระองค์ก็เสด็จกลับสวรรค์ ทรงดำรงตำแหน่งพระเป็นเจ้าสูงสุดปกครองคณะเทพทั้งปวงที่อยู่ในเทวโลก และยังคงเสด็จประทับบนสุริยนาวา โคจรข้ามขอบฟ้าเพื่อตรวจตราสิ่งต่างๆ ในโลกมนุษย์ต่อไป
ขณะที่จอมเทพโอสิริสเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นผู้ครองแผ่นดินโลกลำดับที่สอง
โดยมีพระเทวีไอซิสดำรงตำแหน่งพระราชินี
ปวงเทพทั้งหลายในโลกและเหล่ามนุษย์ต่างปลื้มปีติยิ่งนัก เพราะพวกเขาต่างเฝ้ารอเวลานี้มานานแสนนาน จนแทบจะสิ้นหวังอยู่แล้ว
ปวงเทพทั้งหลายในโลกและเหล่ามนุษย์ต่างปลื้มปีติยิ่งนัก เพราะพวกเขาต่างเฝ้ารอเวลานี้มานานแสนนาน จนแทบจะสิ้นหวังอยู่แล้ว
และจอมเทพโอสิริสก็ไม่ทรงทำให้ผู้เคารพรักพระองค์ต้องผิดหวังเลยครับ
พระองค์ทรงสร้างเมืองหลวงใหม่ขึ้น
ประทานนามว่า ธีบีส (Thebes : ภาษาอียิปต์โบราณว่า
Waset) ทรงปกครองบ้านเมืองด้วยความเมตตากรุณา
และพระปรีชาญาณอันหลักแหลม ทำให้พสกนิกรต่างดำรงชีพด้วยความร่มเย็นเป็นสุข
ยิ่งไปกว่านั้น ยังทรงกระทำผู้คนของพระองค์ให้พ้นจากความป่าเถื่อน กลายเป็นผู้มีอารยธรรม ทรงบัญญัติกฎระเบียบ เพื่อให้ทุกคนอยู่ร่วมกันได้ นับว่าทรงมีคุณูปการต่อมวลมนุษย์มากอย่างไม่มีประมาณ
อีกทั้งยังทรงสั่งสอนให้นักบวช
และประชาชนรู้จักการปฏิบัติบูชาเทพเจ้าอย่างถูกต้อง
ตลอดจนการสร้างเทวสถานสำหรับเทพเจ้าแต่ละองค์ตามเมืองต่างๆ
โดยทรงสร้างมหาเทวาลัยแห่งธีบีสขึ้นเป็นแห่งแรกสุด เพื่อถวายแด่องค์สุริยเทพรา
ภายใต้การสร้างสรรค์ของพระสวามี
พระเทวีไอซิสก็ทรงเป็นกำลังสำคัญ ช่วยรับสนองพระกรณียกิจต่างๆ ให้ลุล่วง
พระนางเองทรงสั่งสอนวิชาหัตถกรรมแก่ผู้ชาย
ทรงสอนให้พวกผู้หญิงรู้จักทอผ้า ทรงสอนให้ทุกคนรู้จักการเลี้ยงสัตว์ การเพาะปลูก
การเก็บเกี่ยวและการทำขนมปังจากข้าวสาลี ข้าวบาเลย์
การเพาะปลูกองุ่นเพื่อนำมาทำเหล้าไวน์ การครองเรือน
และการอบรมดูแลบุตรหลานอย่างถูกต้อง
ยิ่งไปกว่านั้น
ยังทรงสั่งสอนศิลปวิทยาการทุกแขนง แม้จนการแพทย์ เช่นการใช้ยาสมุนไพรรักษาโรค
การปรุงน้ำมันหอม การผ่าตัด รวมไปถึงพยากรณศาสตร์และการสาธารณสุข
พระนางจึงทรงเป็นที่เคารพรักของทุกชีวิตในโลกเช่นเดียวกับพระสวามี
ในเวลาเดียวกัน
เทพเซธซึ่งได้รับเทวโองการจากองค์สุริยเทพ ให้แยกไปปกครองอาณาจักรทางแถบทะเลทราย
ก็กระทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม
บ้านเมืองของพระองค์มีแต่ความกันดารแร้นแค้น
เพราะพระองค์ไม่ทรงใส่พระทัยที่จะสั่งสอนให้ผู้คนของพระองค์รู้จักการกสิกรรม
ประชาชนในอาณาจักรของพระองค์ ต่างดำรงชีวิตไม่แตกต่างจากชนป่าเถื่อน
พวกเขาต้องล่าสัตว์เพื่อยังชีพ
และป้องกันตนเองจากภัยธรรมชาติอันทารุณโหดร้ายไปวันๆ
แต่อันตรายที่น่าสะพรึงกลัวที่สุด กลับมาจากเหล่าเทพบริวารและขุนนางของเทพเซธ ที่กดขี่ข่มเหงผู้คนเพื่อแสดงอำนาจบารมีอยู่เนืองๆ แล้วก็พากันรีดนาทาเร้น ฉกฉวยผลผลิตที่หามาด้วยความยากลำบากไปสู่ราชสำนัก เพื่อปรนเปรอเทพเซธให้สุขสบายอยู่เพียงผู้เดียว
ซึ่งถึงแม้ว่า
เทวีเนฟธิสผู้เป็นชายาจะทรงพยายามทัดทาน ให้ทรงเห็นแก่ความทุกข์ยากของประชาชนบ้าง
ก็ไม่เป็นผล
นานวันเข้า
คนส่วนใหญ่ก็อพยพย้ายถิ่นฐานเข้ามาอยู่ในธีบีส
จนเหลือแต่คนที่มีจิตใจหยาบกระด้างและก้าวร้าวเท่านั้นละครับ
ที่ยังสมัครใจอยู่ในการปกครองของเทพเซธ
ไม่เพียงแต่ประชาชนเท่านั้น
แม้แต่องค์เทวีเนฟธิส พระชายาของเทพเซธเองก็ไม่อาจจะทานทนได้ต่อไปเช่นกันครับ
เป็นความจริงที่ว่า
พระนางไม่เคยพอพระทัยในการเสกสมรสกับเทพเซธ
เพราะว่าทรงหลงรักจอมเทพโอสิริสมาตั้งแต่แรก
เมื่อจำใจต้องแต่งงาน และพบว่าพระสวามีเริ่มมีพฤติกรรมเป็นทรราชย์มากขึ้นทุกที ขณะที่ต้องทรงเฝ้ามองจอมเทพโอสิริสกับพระเชษฐภคินีครองรักกันอย่างแสนสุขด้วยความอิจฉา
เมื่อจำใจต้องแต่งงาน และพบว่าพระสวามีเริ่มมีพฤติกรรมเป็นทรราชย์มากขึ้นทุกที ขณะที่ต้องทรงเฝ้ามองจอมเทพโอสิริสกับพระเชษฐภคินีครองรักกันอย่างแสนสุขด้วยความอิจฉา
พระนางตัดสินพระทัยลอบเข้าไปพบองค์จอมเทพ
ในคืนวันหนึ่งที่พระเทวีไอซิสไม่อยู่ และถวายน้ำจัณฑ์แด่พระองค์อย่างมากมาย
เพื่อเล้าโลมให้ทรงมีสัมพันธ์ด้วย
ในชั้นแรก จอมเทพโอสิริสไม่ทรงยินยอม
แม้จะเสวยน้ำจัณฑ์ไปมากเพียงใดก็ยังทรงปฏิเสธ
แต่ไม่มีสิ่งใดขัดขวางความต้องการของเทวีเนฟธิสได้หรอกครับ
พระนางทำทีว่าทรงเปลี่ยนพระทัย และเสด็จกลับอาณาจักรทะเลทราย แต่เมื่อออกจากวังของจอมเทพ พระนางก็แปลงร่างเป็นพระเทวีไอซิส รออยู่สักระยะก่อนจะกลับเข้าไปอีกครั้ง
องค์จอมเทพเข้าพระทัยว่าพระชายาเสด็จกลับมาแล้ว
ก็ทรงบรรทมร่วมกับพระนาง
คืนวันนั้น เมื่อพระเทวีไอซิสเสด็จกลับมาจริงๆ
และได้ทอดพระเนตรว่าเกิดอะไรขึ้น พระนางทรงพระพิโรธเป็นอย่างมาก
แต่ด้วยน้ำพระทัยเมตตา อันยากจะหาเทพอื่นใดทัดเทียม
พระนางมิได้ทรงลงโทษประการใดแก่พระขนิษฐา เพียงแต่ทรงมีรับสั่งว่า
“การที่เธอกระทำอย่างนี้
ฉันเข้าใจความรู้สึกของเธอดีทุกอย่าง มันไม่แปลกที่ใครๆ
จะเคารพรักองค์จอมเทพเท่ากับฉันหรือยิ่งกว่า
และเมื่อคิดถึงความประพฤติของเทพเซธแล้ว เรื่องเช่นนี้ก็เป็นที่เข้าใจได้ง่ายขึ้น
เพราะเหตุนี้ฉันจะไม่เอาผิดเธอ
และจะยินยอมให้เธอเป็นภรรยาอีกคนหนึ่งของสามีฉันได้ตามที่เธอต้องการ
และหากการกระทำนี้จะเป็นเหตุให้เธอได้รับความเดือดร้อนใดๆ จากสามีของเธอ
เธอสามารถแน่ใจได้ว่า ฉันยังเห็นเธอเป็นน้องสาวที่ฉันจะต้องปกป้องคุ้มครองเสมอ”
เล่ากันว่า
เทวีเนฟธิสถึงกับร่ำไห้ด้วยความตื้นตันใจ
และความอิจฉาริษยาที่ทรงมีต่อพระเชษฐภคินีมาตลอดก็สูญสิ้นไปหมด
พระนางเสด็จกลับอาณาจักรทะเลทราย
ด้วยความสุขในคืนนั้น และไม่นานก็ทรงตั้งครรภ์พระโอรสองค์แรก
โดยต้องทรงอำพรางไว้อย่างสุดความสามารถ มิให้เทพเซธล่วงรู้ได้
เมื่อพระโอรสขององค์เทวีประสูติ
ก็ทรงได้พระนามว่า อนูบิส (Anubis) ซึ่งต่อมาพระเทวีไอซิสก็ทรงรับไปเลี้ยงดูในธีบีสเพื่อความปลอดภัย
โดยที่เทพเซธไม่ทรงล่วงรู้อะไรทั้งสิ้น
ส่วนเทพอนูบิสก็เจริญพระชันษาขึ้น โดยได้รับการสั่งสอนสรรพวิชาอาคมทั้งหลาย
จนเป็นเทพที่ทรงความรู้ด้านเวทมนต์และพิธีกรรมอย่างดีที่สุดอีกองค์หนึ่ง
ด้วยเหตุนี้ ทำให้เทวีเนฟธิสทรงสาบานว่า
หากมีสิ่งใดเกิดขึ้นกับครอบครัวของจอมเทพโอสิริสแล้ว
พระนางจะทรงอุทิศตัวช่วยเหลือพระเชษฐภคินีอย่างสุดความสามารถ โดยไม่รั้งรอเลยครับ
เมื่อธีบีสเจริญรุ่งเรือง
จนมีชื่อเสียงไปทั่วโลก
จอมเทพโอสิริสก็ทรงนึกถึงมวลมนุษย์ที่ตั้งหลักแหล่งอยู่ห่างไกลออกไป
และยังป่าเถื่อนอยู่
พระองค์จึงทรงสถาปนาพระเทวีไอซิสขึ้นเป็นสุริยรานี
ปกครองอียิปต์แทนพระองค์เป็นการชั่วคราว
ส่วนพระองค์เอง
พร้อมด้วยคณะเทพผู้ทรงอุปถัมภ์ด้านต่างๆ มีเทพธอธและเทพอนูบิสเป็นต้น
อีกทั้งเหล่านักบวช และนักปราชญ์จำนวนหนึ่งก็ออกเดินทางไปทั่วโลก
เพื่อสั่งสอนศิลปวิทยาการให้คนเหล่านั้นกลายเป็นผู้มีอารยธรรมต่อไป
ภายใต้การปกครองของพระเทวีไอซิส
พสกนิกรยังคงได้รับความผาสุกเช่นเดิมครับ
แต่ในที่สุด
เทพเซธผู้ริษยาก็ไม่อาจอดกลั้นได้อีกต่อไป
พระองค์เริ่มสงคราม ด้วยการยกกองทัพเข้าจู่โจมธีบีสเพื่อชิงบัลลังก์ของพระเทวีไอซิส
แต่ก็ถูกต่อต้านด้วยเทวานุภาพ จนต้องพ่ายแพ้กลับไปอย่างยับเยิน
แต่เทพเซธไม่เข็ดหลาบ พระองค์นำกองทัพเข้าตีกรุงธีบีสอีกหลายครั้ง
แต่ก็ถูกเสนาบดีฝ่ายพระเทวีไอซิสตอบโต้อย่างเฉียบขาด
จนต้องพ่ายแพ้ไปทุกครั้งเช่นกัน
องค์เทพเซธเองทรงใช้มนต์ดำ
อันมีอานุภาพรุนแรงโหดเหี้ยมที่สุดต่อพระเทวีไอซิส
แต่มนต์ดำเหล่านั้นก็ไม่มีผลอะไรเลยกับองค์เทวีแห่งเวทมนต์ชั้นสูงสุด
การที่เทพเซธทรงก่อความวุ่นวายขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า
แม้ไม่อาจได้รับชัยชนะ ทำให้เหล่าเสนาบดีทูลถวายคำแนะนำพระเทวีไอซิส
ให้ทรงส่งทหารที่ไว้ใจได้ไปถวายรายงานองค์จอมเทพ ถึงเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น
แต่พระเทวีก็ไม่ทรงเห็นด้วย
และทรงปกปักรักษานครธีบีสต่อไปด้วยเทวานุภาพแห่งพระนางเอง
ในที่สุด
เมื่อถึงฤดูกาลที่แม่น้ำไนล์ท่วมท้นสองฟากฝั่ง กระแสน้ำไหลเชี่ยว
จอมเทพโอสิริสก็เสด็จกลับมาถึงท่ามกลางความปีติยินดีของชาวธีบีสทุกคน
เมื่อทรงออกว่าราชการอีกครั้ง
บนเทวบัลลังก์แห่งโลก พระเทวีไอซิสและคณะเสนาบดี
ได้ทูลรายงานสิ่งที่เทพเซธและบริวารได้ก่อขึ้นทั้งหมด
แต่เมื่อสดับแล้ว จอมเทพกลับทรงมีพระดำรัสว่า
“คนเราเมื่อทำความชั่วแล้วไม่เป็นผล
ในที่สุดก็จะต้องรู้จักสำนึก
เซธเป็นน้องของฉัน เมื่อฉันไม่อยู่ เขาอาจทำอะไรเกินเลยไปบ้าง
แต่ฉันกลับมาดังนี้ เขาคงไม่กล้าทำอะไรอีก
และถ้าฉันให้อภัยแก่เขา
เขาก็คงกลับตัวกลับใจได้
จงดูเถิด ไอซิส, ฉันได้เดินทางไปทั่วโลก กระทำคนป่าเถื่อนนับแสนให้เป็นผู้มีอารยธรรม
แม้แต่คนที่กินเนื้อคนด้วยกันเอง ฉันก็โน้มน้าวใจให้เขาเลิก
โดยไม่เคยต้องใช้กำลังบังคับ
แล้วกับน้องซึ่งหลงผิดไปเช่นนี้
มีหรือที่ฉันจะเอาชนะใจเขาไม่ได้?”
พระเทวีไอซิสและคณะเสนาบดี ไม่รู้จะถวายคำแนะนำสิ่งใดได้
นอกจากทูลขอให้ทรงระวังพระอนุชาไว้บ้าง
แต่จอมเทพก็ยังทรงยืนยันพระดำริเดิม
พระเทวีไอซิสได้แต่ทรงเก็บงำความหวั่นพระทัยไว้เงียบๆ
เย็นวันนั้นเอง บริวารของเทพเซธขอเข้าเฝ้า
กราบบังคมทูลว่า
"เทพเซธซึ่งได้หลงผิดไปในช่วงเวลาที่ผ่านมา
ได้ประจักษ์ในพระบารมีอันศักดิ์สิทธิ์แห่งพระองค์แล้ว
และได้เตรียมงานเลี้ยงฉลองอย่างยิ่งใหญ่ ไว้สำหรับต้อนรับการเสด็จกลับมาของพระองค์
ขณะนี้งานดังกล่าวกำลังจะเริ่ม บรรดาขุนนาง
คหบดี และผู้มีชื่อเสียงของทางอาณาจักร ตลอดจนเจ้าครองนครที่อยู่ไกลออกไปต่างพากันมาเฝ้ารอชมพระบารมีของพระองค์"
จอมเทพทรงฉลองพระองค์อย่างหรูหรา
และเสด็จไปวังของเทพเซธทันที พร้อมกับทหารองครักษ์เพียงไม่กี่นายเท่านั้น
เมื่อไปถึงก็ทรงเห็นว่า
งานเลี้ยงฉลองนั้นเป็นงานใหญ่จริงๆ เต็มไปด้วยผู้คนที่ทรงรู้จัก
ที่ต่างก็โห่ร้องถวายพระพร และชื่นชมพระบารมีขณะเสด็จเข้าสู่ท้องพระโรง
เทพเซธ และเทพบริวารทั้ง 72 องค์ได้รอถวายการต้อนรับอยู่แล้ว
และได้ทูลเชิญให้เสด็จประทับในที่สำหรับผู้มีความสำคัญสูงสุดของงาน
ไม่มีสิ่งใดในสายพระเนตร ที่ทำให้องค์เทวกษัตริย์ทรงสำเหนียกถึงภยันตรายครับ
ตลอดงานเต็มไปด้วยเสียงดนตรี อาหารเลิศรส
การละเล่น และการแสดงอันน่าตื่นตา เทพเซธทรงสรรเสริญพระองค์หลายครั้ง
และทุกครั้งผู้มาร่วมงานทั้งหมดก็ร่วมถวายพระพร
จนในที่สุด เมื่อถึงตอนท้ายของงาน
เทพเซธก็ประกาศว่า ได้เตรียมของขวัญล้ำค่าไว้ชิ้นหนึ่ง
เพื่อมอบแก่แขกที่โชคดีที่สุดในงานเพียงคนเดียวเท่านั้น
เหล่าทหารร่างกำยำพากันแบบหีบไม้ขนาดใหญ่มาใบหนึ่ง
เมื่อวางมันลงเบื้องหน้าที่ประทับ องค์จอมเทพโอสิริสก็ทรงพระสรวลด้วยความพอพระทัย
มันเป็นหีบไม้ซีดาร์ขนาดใหญ่พอๆ
กับผู้ชายคนหนึ่ง ทั้งใบสลักเสลาอย่างงดงามด้วยฝีมืออันไม่มีที่ติ
แม้แต่ส่วนที่เป็นลวดลายต่างๆ ก็ฝังทองคำ ประกอบอัญมณีน้ำงามที่สุด
สลับงาช้างอย่างวิจิตรพิสดาร แพรวพราวไปทั่ว
หีบใบนั้นสว่างเรืองรองเป็นจุดเด่นที่สุดในห้องนั้น
ทันทีที่ทุกคนได้เห็นมัน ทุกคนตกตะลึงจนไม่มีใครทันสังเกตว่า
ประตูทุกบานที่จะเข้าออกท้องพระโรงได้ต่างถูกปิดจนหมดสิ้น
เทพเซธให้บริวารคนหนึ่งเปิดฝามันออก
พลางป่าวประกาศต่อไปว่า ใครก็ตามที่สามารถเข้าไปในนอนในหีบได้พอดี ก็จะได้ครอบครองมัน
บรรดาแขกรับเชิญ ที่กะว่าร่างกายของตนมีขนาดพอดีกับภายในหีบ
ต่างแย่งกันพยายามลงไปนอน
จนเทพเซธต้องให้เหล่าเทพบริวารช่วยควบคุมให้เป็นระเบียบเรียบร้อย
ขณะนั้น จอมเทพโอสิริสก็ทรงพระสรวล และเสวยน้ำจัณฑ์อย่างพอพระทัยมากทีเดียว
พระองค์ทรงรักความสนุกสนาน และโปรดที่จะเห็นทุกคนมีความสุข
แต่คนแล้วคนเล่าที่ลงไป
ต่างก็ต้องลุกขึ้นมาด้วยความผิดหวัง ท่ามกลางเสียงหัวเราะเซ็งแซ่
ไม่มีใครมีขนาดร่างกายที่พอดีกับหีบใบนั้น
จนในที่สุด
เมื่อคนที่คิดว่าเหมาะสมได้ทดสอบจนหมด องค์จอมเทพก็ทรงขอทดลองบ้าง
พระองค์ย่างพระบาทลงไปในหีบ
ทรงนั่งลงอย่างขลุกขลักเล็กน้อย และเมื่อพระองค์นอนลงภายในหีบ
โดยยกพระกรทั้งสองขึ้นไขว้กันบนพระอุระ
ทุกคนก็เห็นชัดว่าทรงประทับในหีบไม้นั้นได้พอดีที่สุด
ยิ่งเมื่อเหล่าเทพบริวารช่วยกันวัดขนาด
และพากันลงมติว่าถูกต้อง เสียงถวายพระพรและเสียงปรบมือก็เซ็งแซ่
ทันใดนั้น เหล่าทหารของเทพเซธก็ปิดฝาอันหนักของหีบใบนั้น
ดังสนั่นหวั่นไหว มัดซ้ำด้วยเชือกอย่างแน่นหนาและรวดเร็วที่สุด ท่ามกลางเสียงเอะอะ
และเสียงกรีดร้องของแขกทุกคน
แต่เทพเซธไม่สนพระทัย
พระองค์สั่งให้ต้อนทุกคนไปรวมกันไว้ที่มุมหนึ่งของท้องพระโรง
ขณะที่เหล่าทหารช่วยกันแบกหีบไม้อันเลอค่านั้น ไปโยนลงแม่น้ำไนล์
พร้อมกับศพขององครักษ์ที่ตามเสด็จองค์จอมเทพ
……………………………
หมายเหตุ : เนื้อหาในบทความนี้ มีลิขสิทธิ์ ใครจะนำไปใช้อ้างอิงที่ใด ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมด จะต้องระบุ URL ของแต่ละบทความด้วย และห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าโดยเด็ดขาด
กำลังสนุกเลยค่ะ ^0^
ตอบลบตอนต่อไปโพสต์แล้วนะครับ
ลบ