ข้างพระเทวีไอซิส
ที่คอยฟังข่าวด้วยความร้อนพระทัย ก็พบว่าพระสวามีของพระนางถูกสังหารเสียแล้ว
พระนางทรงกรรแสง จนน้ำพระเนตรแทบจะเป็นสายเลือด
ทรงมีรับสั่งให้เหล่าทหารออกค้นหาพระศพไปตามลำน้ำไนล์
แต่เพราะกระแสน้ำอันเชี่ยวกราก
จึงไม่มีผู้ใดทราบว่าหีบพระศพได้ถูกพัดพาไปไกลถึง นครไบบลอส (Byblos ปัจจุบันอยู่ในเลบานอน) และไปติดอยู่ในดง แทมมาริสค์ (Tamarisk
: พืชจำพวกสนชนิดหนึ่ง) ที่ขึ้นเรียงรายอยู่ริมฝั่งจนหนาทึบ
เมื่อไม่มีใครหาพระศพพบ
พระเทวีก็เสด็จออกค้นหาด้วยพระองค์เอง ทั้งที่ยังทรงพระครรภ์
ทรงใช้ทั้งเวทมนต์และความรู้ทั้งมวลที่ทรงมีอยู่
แต่ก็ไม่อาจค้นหาร่องรอยของพระศพได้
พระนางได้เสด็จไปตามลำน้ำไนล์ไปไกล จนถึงเกาะ เคมมิส
(Chemmis)
ซึ่งอยู่ในเขตปากน้ำดินดอนสามเหลี่ยม
ที่นั่น นางพญางูวัดเจ็ท (Uadjet)
แห่งอียิปต์ล่าง ได้ถวายการต้อนรับอย่างเต็มที่
แต่องค์เทวีเองก็ไม่ทรงรู้เรื่องเกี่ยวกับพระศพ
พระเทวีไอซิสไม่ทรงเห็นทางเลือกอื่น
จึงได้แต่หยุดยั้งการค้นหาพระศพไว้ชั่วคราว
และประทับในวังของนางพญางูด้วยความอ่อนล้า
ในที่สุด
พระนางก็ทรงมีพระประสูติกาลพระโอรสที่นั่น
พระโอรสองค์นี้
ทรงมีเทวลักษณะเข้มแข็งสง่างามยิ่งนัก ทรงแสดงให้เห็นว่า
จักทรงเจริญพระชันษาขึ้นเป็นนักรบที่กล้าหาญและทรงอานุภาพมากที่สุด
พระเทวีไอซิสทรงเศร้าพระทัย ที่พระโอรสประสูติโดยไม่มีพระสวามีของพระนางอยู่เคียงข้าง
ทรงกอดยุวกษัตริย์องค์น้อยไว้แนบพระทรวง ตรัสว่า
“ลูกชายของฉันเกิดมาโดยไม่มีพ่อ
ไม่มีเสียงแซ่ซร้องของพสกนิกรผู้รอคอยการเกิดมาของเขา
และเขาเกิดมาพร้อมกับหน้าที่ที่จะต้องแก้แค้นให้บิดาของเขา ฉันจักให้ชื่อเขาว่า โฮรุส (Horus)”
พระเทวีทรงเลี้ยงดูพระโอรสต่อไปในวังของนางพญางูวัดเจ็ท
โดยนางพญางูและบริวารต่างช่วยกันถวายอภิบาลอย่างเต็มความสามารถ
โดยไม่มีใครรู้ว่า
หีบพระศพซึ่งลอยเข้าไปติดอยู่ในดงแทมมาริสค์ริมฝั่งนครไบบลอสนั้น
ในที่สุดก็ถูกห่อหุ้มด้วยกิ่งก้านสาขาของต้นแทมมาริสค์ จนไม่มีผู้ใดเห็นว่ามีอะไรอยู่ภายใน
และบรรดาต้นแทมมาริสค์ที่ห่อหุ้มหีบพระศพไว้อย่างมิดชิดนั้น
ก็ถูกมหาดเล็กของ พระเจ้ามัลคันเดอร์ (Malcander)
แห่งไบบลอส ตัดไปแกะสลักเป็นประติมากรรมที่งามวิจิตร
เพื่อนำไปตั้งประดับไว้ในพระราชวัง โดยแม้แต่ช่างแกะสลักก็ไม่รู้ว่ามีหีบพระศพทั้งใบซ่อนอยู่ในนั้น
ในที่สุด
พระเทวีไอซิสก็ไม่ทรงมีความหวังที่จะรอต่อไป
พระนางจำต้องฝากยุวเทพโฮรุสไว้ภายใต้การดูแลของนางพญางูวัดเจ็ท
และเดินทางติดตามหาพระศพไกลออกไปเรื่อยๆ
เวลายิ่งล่วงเลยไป
พระนางก็ยิ่งพบกับความล้มเหลว จนแทบจะหมดกำลังที่จะตามหาต่อไปอีก
ทั้งนี้ เพราะแม้แต่เวทมนต์ที่ทรงมีอยู่ ก็ไม่อาจใช้ค้นหาพระสวามีได้
ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้องค์เทวีทรงพิศวงยิ่งนัก
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า
ต้นแทมมาริสค์นั้นเป็นพืชวิเศษชนิดหนึ่ง ที่มีอำนาจอยู่ในตัวของมันเอง
ไม่มีพระเวทหรืออาคมใดๆ ที่จะแทรกผ่านอณูของมันเข้าไปได้เลยครับ
จนกระทั่งคืนหนึ่ง พระนางก็ทรงพระสุบินนิมิต
ในพระสุบินนั้น
พระนางเสด็จพระดำเนินอยู่ริมฝั่งแม่น้ำไนล์ ใกล้ฝั่งเมืองทานิส
ทรงพบเด็กกลุ่มหนึ่งกำลังชี้ชวนกันดูบางสิ่งบางอย่างที่ลอยอยู่ในน้ำ
เมื่อพระนางเสด็จเข้าไปถามว่ากำลังดูอะไรกัน เด็กคนหนึ่งก็ร้องบอก
“นั่นไงพระแม่เจ้า
มีหีบไม้ใบใหญ่ทีเดียว กำลังลอยอยู่ในน้ำนั่นไง ”
พระเทวีทอดพระเนตรเห็นหีบไม้นั้น
พลันพระวรกายก็ชาไปหมด
ทรงทราบด้วยญาณวิเศษของพระนางทันทีว่านั่นคือหีบพระศพที่พระนางทรงตามหามาตลอด
พระนางทรงอุทานด้วยความดีพระทัย
ทรงวิ่งตามหีบพระศพนั้นไปตามริมฝั่งน้ำ จนเห็นดงแทมมาริสค์ขนาดใหญ่
และพระราชวังแห่งไบบลอส
มหาเทพนารีผู้เลอโฉมตื่นขึ้นมาด้วยความดีพระทัยเป็นล้นพ้น
ถึงอำนาจเฉพาะตัวของต้นแทมมาริสค์ จะสกัดกั้นทิพย์ญาณของพระนางได้ แต่ก็ไม่สามารถขวางกั้นพลังแห่งความซื่อสัตย์ จงรักภักดี ที่พระนางทรงมีต่อพระสวามีได้
ถึงอำนาจเฉพาะตัวของต้นแทมมาริสค์ จะสกัดกั้นทิพย์ญาณของพระนางได้ แต่ก็ไม่สามารถขวางกั้นพลังแห่งความซื่อสัตย์ จงรักภักดี ที่พระนางทรงมีต่อพระสวามีได้
พระหฤทัยแห่งพระนางบัดนี้ แทบจะลอยไปถึงพระราชวังของกษัตริย์มัลคันเดอร์
ในเบื้องแรก
พระนางทรงพระดำริจะเสด็จเข้าสู่พระราชวังแห่งนั้น
ในฐานะขององค์สุริยรานีแห่งแดนไอยคุปต์ ซึ่งแม้ไบบลอสจะมิได้อยู่ในขอบขัณฑสีมา
ทั้งกษัตริย์และราชินีก็จะต้องยินดีต้อนรับ
และกระทำทุกอย่างที่ทรงต้องการอย่างแน่นอน
โบราณสถานของนครไบบลอส ปัจจุบันอยู่ในเลบานอน |
แต่เมื่อทรงไตร่ตรองแล้ว ก็ทรงเห็นว่าไม่เป็นการเหมาะสม
อีกทั้งหากทรงแฝงกายเข้าไปโดยวิธีอื่น พระนางอาจทรงกระทำสิ่งมหัศจรรย์ ให้ราชสำนักแห่งไบบลอสได้ประจักษ์ในเทวานุภาพ
ซึ่งจะทำให้พระนาง
และพระสวามีทรงมีชื่อเสียงเกียรติยศยั่งยืนยิ่งกว่า
พระนางจึงทรงจำแลงพระกายเป็นหญิงชราคนหนึ่ง
แล้วไปพำนักอยู่ริมแม่น้ำบริเวณที่เหล่านางกำนัลของ พระราชินีอัสตาร์เต (Astarte)
มเหสีของพระเจ้ามัลคันเดอร์มาอาบน้ำกันเป็นประจำ
พอถึงเวลาที่เหล่านางกำนัลพากันมาอาบน้ำตามปกติ
ก็ได้พบกับหญิงชรา และได้พูดคุยกันอย่างถูกคอ
ไม่เพียงเท่านั้น
หญิงชรายังได้สอนวิธีการดัดผม การแต่งผมด้วยการประดับดอกไม้ให้
ซึ่งเป็นเรื่องใหม่ที่บรรดาสาวๆ ชาวไบบลอสไม่เคยเรียนรู้มาก่อน
เมื่อเหล่านางกำนัลที่ตกแต่งทรงผมของตนอย่างสวยงาม พากันกลับพระราชวัง
พวกหล่อนสะดุดตาทุกคน รวมทั้งพระราชินีอัสตาร์เต
พระนางรับสั่งถามถึงต้นสายปลายเหตุ นางกำนัลก็ทูลตอบไปตามความเป็นจริง
พระนางรับสั่งถามถึงต้นสายปลายเหตุ นางกำนัลก็ทูลตอบไปตามความเป็นจริง
“ ใครที่รู้วิธีแต่งผมให้งามแปลกตาได้ถึงเพียงนี้
ต้องเป็นสตรีสูงศักดิ์มาจากนครที่เจริญรุ่งเรืองแห่งใดแห่งหนึ่งเป็นแน่” พระนางรำพึง
“พวกเธอรีบกลับไปตามนางมาหาเราเร็วเข้า”
เมื่อพวกนางกำนัลไปตามหญิงชราปลอมมาเข้าเฝ้า
พระราชินีก็ทรงให้การต้อนรับอย่างดี
ทรงมีรับสั่งให้หญิงชราพำนักอยู่ในพระราชวัง และยังทรงขอร้องให้ช่วยถวายการอภิบาล เจ้าชายดิคติส (Diktys) ซึ่งกำลังประชวรหนัก จวนเจียนจะสิ้นพระชนม์อยู่ในขณะนั้นอีกด้วย
ทรงมีรับสั่งให้หญิงชราพำนักอยู่ในพระราชวัง และยังทรงขอร้องให้ช่วยถวายการอภิบาล เจ้าชายดิคติส (Diktys) ซึ่งกำลังประชวรหนัก จวนเจียนจะสิ้นพระชนม์อยู่ในขณะนั้นอีกด้วย
ทั้งนี้ เพราะพระนางอัสตาร์เตทรงแน่พระทัยว่า
หญิงชราผู้ลี้ลับนี้จะต้องมีความรู้พิเศษอีกมากมายหลายอย่าง
และนั่นอาจช่วยพระโอรสของพระนางได้
และพระราชินีก็ไม่ผิดหวัง
ด้วยการถวายอภิบาลของหญิงชราปลอม เจ้าชายค่อยๆ บรรเทาอาการประชวร
พระพลานามัยแข็งแรงขึ้นดีวันดีคืน
ทั้งที่บรรดาแพทย์หลวงต่างหมดหนทางไปก่อนหน้านี้แล้ว
แต่ในท่ามกลางความยินดีของพระราชวงศ์และประชาชนทั้งหมด
พระราชินีก็ทรงทราบถึงพฤติกรรมที่ผิดปกติของหญิงชรา จากนางกำนัลด้วย
“นางมักจะแอบเข้าไปในห้องที่ตั้งเสาแทมมาริสค์ต้นใหญ่นั้น
ปิดประตูขังตัวเอง ไม่มีใครรู้ว่านางเข้าไปทำอะไร
แต่คนที่แอบฟังได้ยินเสียงเหมือนนางกำลังก่อกองไฟ เสียงเหมือนนางกลืนอาหารบางอย่าง
และนางก็ส่งเสียงหัวเราะ”
คืนวันหนึ่ง
พระราชินีจึงเข้าไปแอบซ่อนอยู่ในห้องนั้น
และแล้วพระนางก็ได้เห็นพฤติกรรมอันน่าขนพองสยองเกล้าที่สุด
นั่นคือ หญิงชราได้ก่อกองไฟขึ้นจริงๆ
ก่อนจะอุ้มร่างของเจ้าชายไปวางไว้บนกองฟืนที่กำลังลุกโชติช่วง
จากนั้นก็ร่ายรำไปรอบๆ เสาแทมมาริสค์ พร้อมทั้งส่งเสียงคร่ำครวญด้วยความโศกเศร้า
พระราชินีไม่อาจทนทอดพระเนตรได้อีกต่อไป
พระนางกรีดร้อง พลางถลันเข้าไปอุ้มพระโอรสออกจากกองไฟ
แต่พอพระนางจะวิ่งออกจากห้องนั้น
พระนางก็ก้าวพระบาทไม่ได้
ขณะนั้นเอง
หญิงชราหลังค่อมก็กลับยืดตัวตรงขึ้น ร่างกายของนางค่อยๆ
เปล่งแสงสีทองจนสว่างเจิดจ้า ภาพของหญิงชราหายไป
กลายเป็นพระวรกายอันงดงามและเครื่องพัสตราภรณ์อันวิจิตรตระการตา
พระเทวีไอซิสตรัสว่า
“ราชินีโง่
หากเธอปล่อยให้เราเผาลูกของเธอแล้ว เขาจะหายจากความเจ็บไข้อย่างสมบูรณ์
และกลายเป็นเทพเจ้าองค์หนึ่ง และด้วยความโง่ของเธอครั้งนี้
เขาจะมีชีวิตต่อไปได้อีกไม่กี่วันเท่านั้น”
พระเจ้ามัลคันเดอร์ และเหล่าทหารรักษาพระองค์เข้ามาทันได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด
พระองค์ทรงคิดได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น รีบสั่งให้เหล่าทหารคุกเข่าลงถวายบังคม
พระองค์เองก็รีบพาพระราชินีคุกเข่าลงด้วยกัน
ทูลขอให้พระเทวีประทานพรพระโอรสให้มีพระชนม์ยั่งยืนต่อไป
โดยยินยอมถวายสมบัติทั้งหมดในนครไบบลอสเป็นการตอบแทน
“เราไม่ต้องการสมบัติของพวกท่าน” พระเทวีรับสั่ง
”เราต้องการแต่สิ่งที่อยู่ภายในเสาแทมมาริสค์ต้นนี้เท่านั้น
หากท่านยกให้เรา ลูกชายของท่านก็จักได้รับพรของเรา”
ทั้งกษัตริย์และราชินีทั้งพิศวงและยินดี
รีบบัญชาทหารให้ไปตามช่างไม้มา เมื่อบรรดาช่างไม้มาถึงและตัดเสาต้นนั้นออกก็พบว่า
มีหีบพระศพอันสวยงามอยู่ในนั้นจริงๆ
พระเทวีไอซิสทรงประพรมเครื่องหอมทั่วเสาต้นนั้น
และรับสั่งต่อไป
“ด้วยวาจาสิิทธิ์ของเรา ไอซิส,
ลูกชายของท่านจักเติบโตขึ้น
เป็นกษัตริย์ผู้ทรงอานุภาพปกครองดินแดนแถบนี้ให้เจริญมั่นคงไปตลอดอายุขัย
ส่วนเสาต้นนี้
ท่านทั้งสองจงนำไปรักษาไว้ในเทวสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด
นับแต่นี้ไปอีกหลายร้อยปี บรรดานักบวชจากทั่วโลกจักเดินทางมาแสวงบุญ ณ
เทวาลัยดังกล่าว ไบบลอสจักเป็นนครศักดิ์สิทธิ์ และรุ่งเรืองไปชั่วกาลนาน”
……………………………
หมายเหตุ : เนื้อหาในบทความนี้ มีลิขสิทธิ์ ใครจะนำไปใช้อ้างอิงที่ใด ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมด จะต้องระบุ URL ของแต่ละบทความด้วย และห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าโดยเด็ดขาด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น