พระเทวีไอซิส ทรงถือกำเนิดเมื่อครั้งปฐมกาล
ในยุคสมัยแห่งสุริยเทพรา (Ra) เทวกษัตริย์องค์แรกผู้ทรงปกครองอียิปต์
ระหว่างการประชุมในเทวสภาครั้งหนึ่ง มหาเทพธอธ
(Thoth)
ได้ทรงถวายคำพยากรณ์แด่องค์สุริยเทพ
ว่าเมื่อใดก็ตามที่ชายาของพระองค์ คือ เทวีนุต (Nut) เทวีแห่งนภากาศ
ทรงมีพระประสูติกาลพระโอรส เมื่อนั้น โลกจักมีเทวกษัตริย์ ที่จะมาสืบทอดราชบัลลังก์
แต่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานสักเพียงใด
องค์เทวีนุตก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะทรงพระครรภ์
องค์สุริยเทพ และเทพเจ้าทั้งหลายเฝ้ารอเป็นเวลานานหลายปี
จนในที่สุดต่างก็พากันสิ้นหวัง
เทวกษัตริย์ผู้ชราภาพ ทรงพระพิโรธอย่างรุนแรง
ทรงสาปเทวีแห่งนภากาศว่า พระนางจะไม่สามารถกำเนิดบุตรธิดาได้อีก ไม่ว่าจะในวันเดือนปีใดทั้งสิ้น
เทวีนุตทรงพระกรรแสงด้วยความโศกเศร้า
พระนางรีบเสด็จไปหามหาเทพธอธ ทรงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้น
มหาเทพธอธจึงเสด็จไปพบเทพผู้ทรงควบคุมกาลเวลาของโลก
และทรงเป็นนักพนันผู้ยิ่งใหญ่ที่สุด นั่นก็คือ จันทรเทพคอนซู (Khonsu)
มหาเทพธอธได้ทรงท้าองค์จันทรเทพเล่นหมากรุกกัน
บนท้องฟ้ายามราตรี เหนือแนวโคจรของราชรถจันทรา
ผู้ถูกท้าตกลงทันที
ท่ามกลางความพิศวงและตื่นเต้นของเหล่าเทพเจ้า
ด้วยสมญานักการพนันผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในจักรวาล
องค์เทพคอนซูทรงหมายมั่นจะพิชิตมหาเทพธอธให้จงได้ พระองค์เดินหมากแต่ละตาอย่างพิถีพิถัน
และรอบคอบที่สุด
แต่ชั่วระยะเวลาไม่นาน
ผู้ท้าทายก็ทำให้พระองค์เข้าตาจนครับ
จันทรเทพทรงกริ้วยิ่งนัก
พระองค์รับสั่งให้เล่นกันใหม่ เล่นอีก และเล่นอีก
โดยไม่สนใจว่าเวลาจะผ่านไปนานเพียงใด
ผลก็คือ พระจันทร์สุกสว่างเต็มดวงอยู่นานเป็นพิเศษถึง
5 วัน
นี่มิใช่การละเมิดคำสาปขององค์สุริยเทพนะครับ
เพราะวันพิเศษทั้ง 5 นี้ ไม่ใช่วันเวลาของปีใดปีหนึ่ง
หากแต่เป็นวันที่แทรกอยู่ระหว่างวันสิ้นปีเก่า กับวันขึ้นปีใหม่พอดี
และภายใน 5 วันนี้เอง องค์เทวีนุตก็ทรงมีพระประสูติกาลพระโอรสและพระธิดาถึง 5 องค์
คือ จอมเทพโอสิริส เทพฮาร์มาคิส (Harmachis)
เทพเซธ พระเทวีไอซิส และ เทวีเนฟธีส
(Nephthys)
พระโอรสธิดาทั้ง 5 เจริญพระชันษาขึ้น โดยมหาเทพธอธ และเทพอีกหลายองค์ทรงเป็นผู้สั่งสอนศิลปวิทยาการต่างๆ
โดยเฉพาะจอมเทพโอสิริส และพระเทวีไอซิสนั้น
ได้รับการสั่งสอนการใช้เวทมนต์ทุกชนิดอย่างดีที่สุด
ทั้งสององค์จึงกลายเป็นเทพเจ้าที่ทรงภูมิธรรม
ยิ่งกว่าเทวะองค์ใดที่เคยมีมาในแผ่นดินอียิปต์ครับ
นอกจากนั้น
ทั้งสองพระองค์ยังได้รับความเคารพรัก จากประชาชนทั่วไปอย่างมากมาย
จอมเทพโอสิริสทรงเป็นเทพเจ้าผู้งามสง่า
น้ำพระทัยเปิดเผย เต็มไปด้วยความเมตตากรุณา ไม่เคยถือโกรธ
และทรงต้อนรับทุกคนอย่างเสมอภาค
ขณะที่พระเทวีไอซิส ทั้งอ่อนหวานเยือกเย็น
และแสนจะงดงาม ความเฉิดฉายของพระนางยามเสด็จไปในที่ต่างๆ
นั้นทำให้ผู้พบเห็นบังเกิดความปีติยินดี และความสุขโดยทั่วกัน
พระนางทรงอยู่ใกล้ชิดกับคนทุกวรรณะเสมอ
ทรงประทับเคียงบ่าเคียงไหล่กับผู้ตกทุกข์ได้ยาก
เพื่อช่วยเหลือผู้นั้นให้ได้มีชีวิตที่ดีขึ้น
แม้กระนั้น
พระนางก็ทรงมีพลังอำนาจศักดิ์สิทธิ์ ที่ทำให้ทุกคนถวายความยำเกรง และความเคารพรักในเวลาเดียวกัน
ไม่ว่าใครๆ
ก็อยากจะได้ชื่นชมพระบารมีของพระนางทั้งนั้นละครับ
ส่วนเทพเซธนั้น
กลับทรงมีพระอุปนิสัยที่แตกต่างจากพระเชษฐาทุกอย่าง
พระองค์ดุร้ายน่าสะพรึงกลัว
ทรงเป็นปฏิปักษ์กับทุกคนที่ไม่ยอมรับในพระบารมีของพระองค์ และทรงทะเยอทะยาน ต้องการที่จะเป็นใหญ่อยู่ตลอดเวลา
แม้แต่ในทางมายาศาสตร์
พระองค์ก็ทรงเลือกศึกษาแต่ชนิดที่เป็นคุณไสยมนต์ดำ
คือวิธีการที่จะกระทำให้ผู้อื่นมีอันเป็นไปต่างๆ นาๆ ทั้งสิ้น
เมื่อถึงกาลอันควรเสกสมรส
จอมเทพโอสิริสก็ทรงอภิเษกกับพระขนิษฐาของพระองค์เอง
ขณะที่เทพเซธทรงเสกสมรสกับเทวีเนฟธีส
เป็นต้นแบบประเพณีการเสกสมรสกันเองในระหว่างพระโอรสธิดาของราชวงศ์ไอยคุปต์ในกาลต่อมา
เพื่อรักษาสายเลือดอันบริสุทธิ์ไว้
ขณะนั้น องค์สุริยเทพผู้ชราภาพ ก็ยังทรงปกครองโลกในฐานะเทวกษัตริย์อยู่ละครับ
พระองค์ทรงทราบทุกสิ่งที่เกิดขึ้น
แต่แม้จะไม่ทรงยอมรับ พระองค์ก็มิได้ทรงขัดขวางห้ามปราม
ทั้งยังประทานสิทธิ์แด่พระโอรสธิดาของเทวีนุท ในการเข้าสู่เทวสภา เฉกเช่นเทพเจ้าองค์อื่นด้วย
แต่พระองค์ก็ยังทรงกุมอำนาจเหนือผืนแผ่นดินต่อไป
โดยไม่ทรงใส่พระทัยว่า มวลมนุษย์มิได้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
และสรรพสิ่งก็ถูกปล่อยให้เปลี่ยนแปลงไปตามยถากรรม
เนื่องจากพระองค์ทรงอ่อนแรง เกินกว่าจะเข้าไปจัดการได้แล้วนั่นเอง
ในที่สุด
คณะเทพและมนุษย์ส่วนใหญ่ จึงเริ่มเห็นพ้องต้องกันว่า จอมเทพโอสิริส
ทรงมีความเหมาะสมที่จะเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติแทนองค์สุริยเทพได้แล้ว
แต่องค์เทพโอสิริส กลับไม่ทรงมีความทะเยอทะยานแต่อย่างใด
พระองค์ทรงนึกเพียงแต่ว่า
จะขึ้นครองราชย์ต่อจากองค์สุริยเทพ เมื่อถึงเวลาอันเหมาะสมเท่านั้น
สิ่งนี้อยู่ภายในพระหฤทัยขององค์เทวีไอซิสเช่นกันครับ
แต่,,,ความเหมาะสมในพระดำริของพระนาง
คือสิ่งที่พระนางควรจะทำให้เกิดขึ้น มิใช่รอให้ผ่านเข้ามาเอง
“ด้วยความรู้ที่เราได้จากมหาเทพธอธ
พลังอำนาจสูงสุดขององค์สุริยเทพนั้น ซ่อนอยู่ภายในพระนามลับของพระองค์”
พระเทวีทรงครุ่นคิด
”ถ้าเรารู้พระนามลับนั้น
เราจักได้รับพลังอำนาจสูงสุดเหนือองค์สุริยเทพ”
ดังนั้น พระเทวีทรงเนรมิตงูเห่าขึ้นเป็นครั้งแรกบนแผ่นดินอียิปต์
และก่อนรุ่งอรุณของวันใหม่
งูเห่าตัวนั้นก็ฉกกัดองค์สุริยเทพที่ข้อพระบาท แล้วเลื้อยหนีหายไปอย่างรวดเร็ว
ท่ามกลางความตกตะลึงของเทพเจ้าทั้งหมด
องค์สุริยเทพทรงเปล่งพระสุรเสียงกึกก้องไปทั่วโลก
เหล่าทวยเทพพยายามแก้ไขพิษร้ายนั้น แต่ไม่มีองค์ใดทำสำเร็จ
“ข้าแต่พระเป็นเจ้าผู้สร้างโลก
มีสิ่งใดเกิดขึ้นกับพระองค์?”
พระเทวีไอซิสทูลถาม
พระเทวีไอซิสทูลถาม
“สัตว์ประหลาดชนิดหนึ่งกัดเรา”
องค์สุริยเทพรับสั่ง
“เราไม่เคยเห็นมันมาก่อน
และขณะนี้เราไม่สามารถมองเห็นสิ่งใด แม้แต่ดวงหน้าของเธอ
เพราะความร้ายแรงแห่งพิษของมัน
ลูกสาวแห่งนุต, นี่เป็นพิษที่แปลกประหลาดอย่างยิ่ง
บางครั้งมันทำให้กายของเราเย็นกว่าน้ำ บางครั้งมันทำให้กายของเราร้อนกว่าถูกเผา
ขณะนี้ศีรษะของเราร้อนกว่าดวงอาทิตย์นับพัน หัวใจของเราสั่นและอ่อนแรง
แต่ด้วยญาณวิถีของเรา
เรารู้ว่าในหมู่ของพวกเธอ จักมีเทพองค์หนึ่งที่ช่วยเหลือเราได้”
“หม่อมฉันจะทำลายมันด้วยพลังแห่งคำพูด
หม่อมฉันจะขับไล่มันไป ก่อนที่เรือสุริยะจะได้เวลาโคจรในท้องฟ้า”
องค์เทวีตรัส
“แต่หม่อมฉันไม่สามารถทำเช่นนั้น
หากมิได้รับเทวานุภาพสูงสุดที่อยู่ภายในพระนามลับของพระองค์
อาศัยเทวานุภาพสูงสุดนั้น
รวมกับพลังมนตราของหม่อมฉัน
หม่อมฉันย่อมกำจัดพิษร้ายอันอยู่เหนือพระปรีชาสามารถของพระองค์ได้”
สุริยเทพราทรงตระหนักดีว่าอะไรจะเกิดขึ้น
ถ้าพระองค์ทำเช่นนั้น
พระเทวีไอซิสจะกลายเป็นเทพผู้ทรงอำนาจยิ่งใหญ่เหนือพระองค์
เหนือกว่าเทพเจ้าทั้งหลายตลอดทั่วดินแดนไอยคุปต์
และพระองค์จะสูญสิ้นเทวฐานะของพระเป็นเจ้าสูงสุดแห่งโลก ไปชั่วนิรันดร์
แต่องค์สุริยเทพไม่ทรงมีทางเลือกอื่นที่ดีไปกว่านี้
พระองค์กระซิบบอกพระนามลับของพระองค์กับพระนาง
โดยพระนามลับนั้นก็คือ อามุน-รา (Amun-Ra)
องค์เทวีผู้เลอโฉมทรงยินดียิ่งนัก
บัดนี้ พลังอำนาจสูงสุดของทั้งโลกและสวรรค์ ที่องค์สุริยเทพเคยครอบครอง
ได้เปลี่ยนมาเป็นของพระนางจนหมดสิ้นแล้ว
พระนางทรงหลอมรวมเทวานุภาพทั้งหมด เข้ากับเวทมนต์ที่พระนางมีอยู่
และเปล่งวาจาศักดิ์สิทธิ์ว่า
“ ด้วยพลังอำนาจและมนตราชั้นสูงสุดแห่งเรา
ไอซิส, พิษร้ายของงูเห่าจงไหลออกมา
จากพระวรกายแห่งองค์สุริยเทพ และขอให้พระองค์ทรงมีพระชนม์ชีพยั่งยืนต่อไปในสวรรค์”
ต่อหน้าพระพักตร์ของปวงเทพ
พิษร้ายของงูเห่าก็หลั่งไหลออกมาจากบาดแผลที่ข้อพระบาทของสุริยเทพรา
เพียงชั่วอึดใจ ความเจ็บปวดแสนสาหัสก็ปลาสนาการไปหมดสิ้น
แต่องค์สุริยเทพก็ทรงหมดพระสติไปทันที
ด้วยไม่ทรงมีเรี่ยวแรงใดๆ เหลืออยู่
พระเทวีไอซิสถวายบังคมลาออกมาพร้อมกับพระสวามี
พระนางกุมพระหัตถ์องค์จอมเทพไว้ขณะเสด็จไปด้วยกัน
ท่ามกลางเสียงแซ่ซ้องสรรเสริญที่ดังกึกก้องขึ้นทั่วพิภพ
และสายตาอันเต็มไปด้วยความริษยาของเทพเซธ
……………………………
หมายเหตุ : เนื้อหาในบทความนี้ มีลิขสิทธิ์ ใครจะนำไปใช้อ้างอิงที่ใด ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมด จะต้องระบุ URL ของแต่ละบทความด้วย และห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าโดยเด็ดขาด
เชื่อว่าคนส่วนมากย่อมมองเป็นเล่ห์กล แต่แท้จริงเป็นการบ่งบอกว่า ไม่กล้าตัดสินใจก็ไม่สามารถได้เป็นใหญ่
ตอบลบขึ้นอยู่ว่า จะมองด้วยทรรศนะที่คับแคม หรือเปิดกว้าง อดติ หรือไม่อคติครับ
ลบแต่ชีวิตจริงมันก็แบบนี้แหละ